ปลดล็อก "สุราชุมชน" จากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่อุตสาหกรรมที่ถูกกฎหมาย
สุราชุมชน เส้นทางการเปลี่ยนผ่านจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่อุตสาหกรรมที่ถูกกฎหมาย
จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
วันที่ 15 มกราคม 2568 นับเป็นวันสำคัญของวงการสุราชุมชนไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 415 เสียง ผ่านร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ที่มุ่งปลดล็อกข้อจำกัดในการผลิตและจำหน่ายสุราชุมชน นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ประธานกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติฯ ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยลดการผูกขาด สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยยังคงมีการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
รากเหง้าของการเปลี่ยนแปลง
ในปี 2544 รัฐบาลไทยเริ่มปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเกี่ยวกับการผลิตสุราชุมชน โดยออกประกาศกระทรวงการคลังเรื่องวิธีการบริหารงานสุรา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต ผ่านการลดข้อจำกัดด้านการผลิตและการจัดจำหน่ายสุราพื้นบ้านอย่างถูกกฎหมาย มาตรการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในกระบวนการผลิตสุรามากขึ้น ต่อมาในปี 2546 ได้มีการออกประกาศเพิ่มเติม โดยเฉพาะฉบับที่ 4 และ 5 ที่อนุญาตให้ประชาชนรวมกลุ่มกันผลิตสุรากลั่นชุมชนได้ ส่งผลให้เกิดการจดทะเบียนโรงงานสุราชุมชนจำนวนกว่า 4,679 แห่ง และสุราแช่ 572 แห่งทั่วประเทศ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการตอบสนองต่อแรงกดดันจากการชุมนุมประท้วงของเครือข่ายผู้ผลิตสุราพื้นบ้านทั่วประเทศ โดยเฉพาะจากภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตสุราและบริโภคสุราในชุมชนอย่างแพร่หลาย กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนเสรีภาพทางการค้าและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวเหนียว ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสุรา การตอบสนองครั้งนี้จึงไม่เพียงช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน แต่ยังเปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์สุราชุมชนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ
สุรากลั่นชุมชนต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยต้องมีแรงแอลกอฮอล์ในระดับ 28-40 ดีกรี และผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ข้าว น้ำตาล หรือผลไม้ โดยไม่มีการใช้สารปรุงแต่งใดๆ นอกเหนือจากน้ำ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คงเอกลักษณ์และปลอดภัยสำหรับการบริโภค มาตรฐานนี้ช่วยยกระดับคุณภาพสุราพื้นบ้านให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
กระบวนการผลิตสุรากลั่นชุมชนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมสรรพสามิต กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีการตรวจวิเคราะห์ทั้งปริมาณแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อน และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการออกจำหน่าย การตรวจสอบเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และส่งเสริมภาพลักษณ์ของสุรากลั่นชุมชนในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
การกระจายตัวและผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของโรงงานสุราชุมชนมากที่สุด โดยเฉพาะในจังหวัดพะเยา แพร่ และเชียงราย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมการดื่มในพื้นที่ การผลิตสุราชุมชนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่น
แม้จะมีการควบคุมที่เข้มงวด แต่ยังพบปัญหาสำคัญหลายประการ จากการสำรวจในจังหวัดพะเยาพบว่า โรงงานกว่าร้อยละ 94 มีการจำหน่ายสุราแบบไม่ติดอากรแสตมป์ นอกจากนี้ยังพบการปนเปื้อนของสารเคมีอันตราย เช่น ยาฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ในตัวอย่างสุราจากบางโรงงาน ปัญหาน้ำเสียจากกระบวนการผลิตก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม
กรณีศึกษา "พะเยาโมเดล"
จังหวัดพะเยาเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการจัดการปัญหาสุราชุมชน โดยใช้นโยบายแบบบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และชุมชน หน่วยงานในพื้นที่ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อกำกับดูแลและควบคุมการผลิตและบริโภคสุราชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2567 ศูนย์ฯ รายงานว่า โรงงานสุราชุมชนที่ผิดกฎหมายลดลงจากกว่า 150 แห่งเหลือเพียง 87 แห่งในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งสะท้อนถึงผลสำเร็จของการดำเนินนโยบายที่เน้นความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานรัฐ
มาตรการที่นำมาใช้ใน "พะเยาโมเดล" ประกอบด้วยการรณรงค์ทางสังคม เช่น โครงการงดเหล้าเข้าพรรษาที่ทำให้ชาวพะเยากว่า 12,000 คนร่วมงดดื่มสุราในปีที่ผ่านมา การส่งเสริมพื้นที่ปลอดเหล้าในสถานที่ราชการ วัด และโรงเรียน ส่งผลให้การร้องเรียนเรื่องปัญหาสุราในชุมชนลดลงถึง 40% ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การผสมผสานดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดปัญหาสุราในชุมชน แต่ยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น ถือเป็นแบบอย่างสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่
การกำกับดูแลสุราชุมชนเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยกรมสรรพสามิตมีหน้าที่หลักในการออกใบอนุญาตและจัดเก็บภาษี กรมโรงงานอุตสาหกรรมดูแลมาตรฐานการผลิต สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย และกรมควบคุมมลพิษดูแลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เพื่อยกระดับคุณภาพสุราชุมชน
การพัฒนาสุราชุมชนในอนาคตต้องคำนึงถึงหลายมิติ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาดในการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และการตลาด ตลอดจนการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนกับการควบคุมผลกระทบด้านสุขภาพและสังคม มีการเสนอให้เพิ่มค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเพื่อควบคุมจำนวนผู้ผลิต และส่งเสริมการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิต
การปลดล็อกสุราชุมชนเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร และการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการสร้างระบบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต และการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการคุ้มครองผู้บริโภค
ภาพ Freepik
อ้างอิง : กรมสรรพสามิต / พะเยาโมเดล
https://www.liquor.or.th/public/documents/1628563211.pdf
ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา