รีเซต

นักวิทย์ออสเตรเลียเตือน อย่าฉีดแอลกอฮอล์ใส่ 'หน้ากากอนามัย'

นักวิทย์ออสเตรเลียเตือน อย่าฉีดแอลกอฮอล์ใส่ 'หน้ากากอนามัย'
Xinhua
24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 22:56 )
76

แคนเบอร์รา, 24 ก.พ. (ซินหัว) -- คณะนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียค้นพบว่าการฉีดพ่นหน้ากากอนามัยด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อลดประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยลง

คณะนักวิทยาศาสตร์จากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) เปิดเผยในการศึกษาชิ้นแรกของโลกเกี่ยวกับการฉีดพ่นหน้ากากอนามัยด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ซึ่งตีพิมพ์ในวันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) ว่าการสัมผัสน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบของหน้ากากอนามัยเอ็น95 (N95) และหน้ากากอนามัยพี2 (P2) เสี่ยงต่อการลดประสิทธิภาพการป้องกันสารอันตรายในอากาศของหน้ากากอนามัยลงอย่างมาก

เจิร์ก ชัตซ์ (Jurg Schutz) ผู้นำการศึกษาข้างต้น กล่าวว่าผลการศึกษานี้จะช่วยแจ้งให้ผู้คนทราบถึงวิธีการดูแลหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง

ชัตซ์กล่าวในงานแถลงข่าวว่า หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราต่อไป เนื่องจากเป็นหน้ากากอนามัยที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์ต่างๆ และเชื้อโรคอื่นๆ ในอนาคต ทว่าคณะวิจัยของตนเคยได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนพยายามยืดอายุของหน้ากากอนามัยเหล่านี้ด้วยการทำความสะอาด

คณะนักวิจัยฯ เริ่มนึกถึงผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนใช้กันมากขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่อย่างน้ำยาทำความสะอาดมือและน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ โดยตระหนักว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจส่งผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าสถิตของหน้ากากอนามัยได้

ชัตซ์ตั้งข้อสังเกตว่า หน้ากากอนามัยเหล่านี้อาศัยประจุไฟฟ้าสถิต ซึ่งดึงดูดและดักจับอนุภาคต่างๆ เหมือนใยแมงมุมที่เหนียวหนึบ อย่างไรก็ดี คณะนักวิจัยฯ ทราบว่าไอระเหยของแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงสามารถทำลายประจุนี้ได้

การศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ ขณะเขตอำนาจศาลหลายแห่งในประเทศเตรียมผ่อนคลายข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัย

นับตั้งแต่คืนวันศุกร์ (25 ก.พ.) เป็นต้นไป ประชาชนในเขตเมืองหลวงออสเตรเลีย (ACT) และรัฐวิกตอเรียจะสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น ซึ่งรวมถึงระบบขนส่งสาธารณะ ท่าอากาศยาน และสถานดูแลสุขภาพ

ทั้งนี้ วันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) ออสเตรเลียรายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มกว่า 20,000 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 36 ราย ซึ่งอยู่ในรัฐวิกตอเรีย 16 ราย รัฐนิวเซาธ์เวลส์ 12 ราย และรัฐควีนส์แลนด์ 8 ราย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง