KTAMปี68เน้นสร้างพอร์ตที่สมดุล รับเสี่ยงนโยบายทรัมป์แผลงฤทธิ์
#KTAM #ทันหุ้น -KTAM มองเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้อาจมีการเติบโตที่ชะลอจากนโยบายของสหรัฐ แนะจัดพอร์ตสร้างความสมดุลเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ทั้งตราสารหนี้ และหุ้น โดยตราสารหนี้ผลตอบแทนผันผวน จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายๆ แห่ง หุ้นก็เช่นกันผันผวนจากนโยบายทรัมป์ ดังนั้นควรลงทุนกระจายเสี่ยง ทั้งในหุ้นไทย หุ้นโลก และตราสารหนี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTAMเปิดเผยว่า ในปี 2568 มองว่าเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่อาจมีอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจากนโยบายของสหรัฐซึ่งจะส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก โดยเศรษฐกิจสหรัฐ อาจจะโดดเด่นขึ้น ซึ่งเปรียบเทียบจากการผ่อนคลายกฎระเบียบและการจัดสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจใหม่ ถึงแม้ความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายยังคงอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การขาดดุลการคลังของสหรัฐอาจชะลอลงในปีนี้จากการขึ้นอัตราภาษี และอาจเพิ่มขึ้นในปี 2569 หากมีการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% ในขณะที่จีนอาจจะมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโต้แรงกดดันจากภายนอก ทำให้หลายประเทศอาจดำเนินนโยบายการคลังที่รัดเข็มขัดขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินจากภาครัฐอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกได้มากนัก
*จัดพอร์ตอย่างสมดุล
ขณะที่ธนาคารกลางในประเทศที่สำคัญๆ อาจจะมีการปรัดลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอลง แต่ความเร็วในการลดดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ดังนั้น การจัดพอร์ตต้องเน้นความสมดุลมากขึ้นระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ และหุ้น
ทั้งนี้ KTAM มองโอกาสและปัจจัยที่สำคัญในแต่ละสินทรัพย์ดังนี้ตลาดตราสารหนี้ โดยธนาคารกลางหลัก ๆ ของโลกอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง รวมถึงตลาดตราสารหนี้ก็ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่องโดยแกว่งตัวระหว่าง “ความหวัง” ของนักลงทุน และ “การดำเนินการ” ของผู้ดำเนินนโยบาย โดยมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยยังไม่ได้สูงเหมือนในต่างประเทศ
ถึงแม้ว่าหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และเงินเฟ้อที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจเปิดทางให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยลงได้ 2 ครั้งในปีนี้ จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTFIXPLUS) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ
และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้นพลัส (KTSTPLUS) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉลี่ยตราสารอายุไม่เกิน 1 ปี
*ลงทุนไทยเน้นหุ้นปันผล
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการลงทุนยังได้รับความท้าทายจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของสงครามการค้า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และความสามารถในการบริโภคที่ด้อยลงจากหนี้ครัวเรือน ดังนั้น บลจ.กรุงไทย จึงแนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ
และอีกกองทุนคือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่ดี
สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศ แม้ว่าจะมีการสะดุดไปบ้างตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2567 ที่ผ่านมา แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่สินทรัพย์เสี่ยงให้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับในปี 2568 นี้ มองว่ายังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
โดยธีมการลงทุนใน Tech และ AI ยังคงสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ดีของรายได้ (Earnings Growth) และคาดว่ายังจะเป็นธีมหลักสำหรับตลาดหุ้นในปีนี้ ประกอบกับนโยบายของ ทรัมป์ 2.0 ที่คาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ถึงแม้ว่าในเชิง Valuation หุ้นบางกลุ่มมี Valuation ที่เริ่ม “แพง” มี Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต จึงต้องคอยติดตามการประกาศผลประกอบการว่ายังสามารถช่วยสนับสนุนระดับราคาในปัจจุบันได้หรือไม่
*เปิดรับโอกาสหุ้นโลก
ทั้งนี้ จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม โกลบอล อิควิตี้ พาสซีฟ ฟันด์ (KT-GEQ) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน iShares MSCI ACWI ETF (กองทุนหลัก) โดยมีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI ACWI
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-WEQ) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB Low Volatility Equity Portfolio (Master Fund) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐาน มีความผันผวนต่ำ ในหุ้นที่อยู่ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
และกองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB AMERICAN Growth Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนใน หุ้นของบริษัทสหรัฐ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในสหรัฐ
นอกจากนี้ มองว่า การที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่อเนื่องยังจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มการเงิน ถึงแม้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีอยู่ แต่อาจจะช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลดีต่อความต้องการสินเชื่อในอนาคต
อีกทั้ง กระแสการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ของ ปธน. ทรัมป์ ก็ส่งผลดีต่อธุรกิจกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน จึงแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) (โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (กองทุนหลัก) ในหุ้นของบริษัททั่วโลกซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงิน