รีเซต

ไทยจะต่อรองสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ก่อนภาษี 36% มีผล 1 ส.ค.?

ไทยจะต่อรองสหรัฐฯ ได้แค่ไหน ก่อนภาษี 36% มีผล 1 ส.ค.?
TNN ช่อง16
9 กรกฎาคม 2568 ( 17:29 )
11

31 กรกฎาคม หมุดหมายที่ไทยต้องชนะในศึกเจรจาโลก?

ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 คือเส้นตายสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมการค้าไทย–สหรัฐฯ ไปตลอดกาล หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยใหม่ที่ระดับ 36 เปอร์เซ็นต์ และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

ท่ามกลางแรงกดดันจากผู้ส่งออกไทยที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นมาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐ เอกชน และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสหรัฐฯ มาหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกอย่างเร่งด่วน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถต่อรองกับสหรัฐฯ ได้ทันเวลา


ความเหลื่อมล้ำที่กดดันไทย?

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าภาคเอกชนมีความกังวลอย่างมาก เนื่องจากอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้นั้นสูงเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับเสียภาษีนำเข้าเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ไทยเกินดุลเพียงราว 46,000–47,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับถูกเก็บภาษีในระดับสูงสุด

ภาคเอกชนไทยจึงเรียกร้องให้ทีมเจรจาของไทยนำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบนี้เข้าพิจารณาอย่างจริงจัง โดยไม่ใช่แค่ชะลอแรงกระแทก แต่ต้องหาทางปรับอัตราภาษีให้ลดต่ำลงกว่าที่ประกาศไว้ให้มากที่สุด

ข้อเสนอไทยอยู่ตรงไหน?

“ข้อเสนอที่เราปรับปรุงไป เราให้เต็มที่แล้ว” นายพจน์ระบุ พร้อมอธิบายว่า ไทยเสนอสิ่งที่ทำได้โดยไม่กระทบผู้ส่งออกมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต้องพึ่งตลาดสหรัฐฯ แต่ยังคงเน้นว่าข้อเสนอของไทยต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เสียสมดุลทางการค้าจนกระทบผู้ประกอบการในประเทศ

การเจรจาต้องทำให้เกิดผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยไทยพร้อมเปิดทางให้นำเข้าสินค้าที่จำเป็นและขาดแคลนจากสหรัฐฯ เช่น กลุ่มเครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามรักษาระดับภาษีให้แข่งขันได้ ไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคจนเสียเปรียบ


 

เป้าหมายที่จับต้องได้?

เมื่อถูกถามว่าไทยควรได้อัตราภาษีนำเข้าเท่าไร นายพจน์ยอมรับว่า “อัตรา 10% ถือเป็นฐานต่ำที่สุดที่ควรพยายามไปให้ถึง” แต่หากทำไม่ได้จริงก็ขอเพียงไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่งในตลาดเดียวกันมากนัก

แม้จะยอมรับความจริงว่าทุกประเทศเจอแรงกดดันจากสหรัฐฯ ในการปรับดุลการค้า แต่สิ่งที่ไทยต้องการคือการเจรจาแบบมีข้อมูลและเหตุผล ไม่ใช่แค่รับสภาพตามคำสั่งจากอีกฝ่าย

ล้างบางภาษีบางกลุ่ม?

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การที่ไทยเสนอจะลดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าบางกลุ่มให้เหลือ 0% เพื่อเป็นแรงจูงใจให้สหรัฐฯ พิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยด้วย โดยเฉพาะพิกัดภาษีที่สูงเกินความจำเป็น เช่น ผลไม้บางชนิดที่ปัจจุบันไทยไม่ได้มีการนำเข้าเลย แม้จะตั้งภาษีไว้ที่ระดับ 30–60 เปอร์เซ็นต์

นายพจน์ย้ำว่า สินค้าหลายกลุ่มไม่ได้นำเข้าและไม่มีผลกระทบต่อภาคเกษตรกรหรืออุตสาหกรรมไทย เช่น ผลไม้จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และจีนที่ไทยเปิดตลาดไว้แล้วภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่ให้สิทธิภาษี 0% อยู่แล้ว

การลดภาษีให้สหรัฐฯ ในกลุ่มนี้จึงเป็นกลยุทธ์เจรจาที่ใช้งานได้จริง เพราะไม่มีผลกระทบต่อผู้ผลิตไทย แต่ช่วยเปิดช่องการต่อรองในโต๊ะเจรจา




-------- 

คำถาม–คำตอบที่พบบ่อย (FAQ)

1. ทำไมวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 จึงสำคัญต่อการค้าไทย–สหรัฐฯ?

เพราะเป็นเส้นตายที่ไทยต้องเจรจาให้ได้ข้อสรุปกับสหรัฐฯ ก่อนที่อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย

2. อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ กำหนดใหม่คือเท่าไร และส่งผลอย่างไร?

สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 36% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค หากมีผลบังคับใช้ จะทำให้สินค้าจากไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ และเสียเปรียบคู่แข่งอย่างเวียดนาม

3. เวียดนามเสียภาษีนำเข้าในอัตราเท่าไร ทำไมถึงเป็นประเด็น?

เวียดนามเสียภาษีนำเข้าเพียง 20% แม้มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 120,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยเกินดุลเพียง 46,000–47,000 ล้านดอลลาร์ แต่กลับถูกเก็บภาษีสูงกว่า ซึ่งภาคเอกชนมองว่าไม่เป็นธรรม

4. ไทยมีข้อเสนออะไรในการเจรจากับสหรัฐฯ?

ไทยเสนอเปิดตลาดให้นำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ไทยขาดแคลน รวมถึงเสนอปรับอัตราภาษีในบางพิกัดให้เหลือ 0% เพื่อใช้ต่อรองโดยไม่กระทบผู้ประกอบการไทยมากเกินไป

5. ไทยคาดหวังอัตราภาษีใหม่ที่เท่าไรจึงจะถือว่ายอมรับได้?

ภาคเอกชนไทยตั้งเป้าว่าอัตรา 10% คือระดับต่ำสุดที่ควรพยายามต่อรองให้ได้ หากไม่สามารถลดลงได้มากนัก ก็ขอเพียงไม่เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม หรือมาเลเซีย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง