รีเซต

STECลุยบิ๊กโปรเจ็กต์5แสนล. โกยงานเติมพอร์ต9.6หมื่นล.

STECลุยบิ๊กโปรเจ็กต์5แสนล. โกยงานเติมพอร์ต9.6หมื่นล.
ทันหุ้น
27 พฤษภาคม 2567 ( 13:33 )
10
STECลุยบิ๊กโปรเจ็กต์5แสนล. โกยงานเติมพอร์ต9.6หมื่นล.

#STEC #ทันหุ้น – STECเผยครึ่งปีหลัง 2567 งานเมกะโปรเจ็กต์เข้าครม.กว่า 5 แสนล้านบาท ปีนี้คาดคว้างานใหม่กว่า 4-5 หมื่นล้านบาท เติมงานในมือที่มีอยู่กว่า 9.6 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ไป 3 ปี ส่วนโครงสร้าง STECON GROUP เตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อก.ล.ต. คาดว่าจะเข้าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3/2567 ส่วนรายได้รวมคาดทำได้ 3-3.1 หมื่นล้านบาท

 

นายศิว์วิศว์ อนันตกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่าแนวโน้มรายได้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างไตรมาส 2/2567 จะเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะมีการเร่งก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ 5 แห่ง และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงจะเป็นช่วงเร่งดำเนินการ ส่วนรายได้อื่นๆ ไตรมาส 2 จะมีเงินปันผลของ GULF เข้ามาด้วย โดย GULF มีการจ่ายเงินปันผลมากขึ้นเป็น 0.88 ต่อหุ้น ดังนั้นรายได้เงินปันผลรับจะมากขึ้นจากปีก่อน ดังนั้นรายได้รวมจะเติบโตขึ้นแน่นอน

 

*โครงการจ่อประมูลเพียบ

 

สำหรับโครงการที่ภาครัฐ (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. ) เดินหน้า มี 2 โครงการ คือ จตุโชติ-ลำลูกกา มูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะประมูลในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนโครงการทางพิเศษสายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต อาจจะใช้เวลาอีกระยะ ถึงจะประมูล ส่วนรถไฟทางคู่ 4 โครงการ เส้นทาง ขอนแก่น ,หนองคาย คาดว่า TOR จะออกเดือนนี้ หรือเดือนมิถุนายน และอีก 3 โครงการ ปากน้ำโพ เด่นชัย ,จิระ อุบลราชธานี และหาดใหญ่ คาดว่าจะเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครึ่งปีหลัง 2567  ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้มรอศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่าผลจะเป็นอย่างไร

 

ถัดมาจะเป็นโครงการมอเตอร์เวย์ จะมี 3 โครงการ คือ M5 ,M9 และ M7 ซึ่งคาดว่าจะเข้าครม.ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง คาดเข้า ครม.ครึ่งปีหลัง และสนามบินสุวรรณภูมิที่จะขยายไปทิศตะวันออก คาดว่าเข้าครม.ครึ่งปีหลัง 2567 มูลค่าโครงการกว่า 6,600 ล้านบาท ดังนั้นครึ่งปีหลังจะเห็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ทยอยเข้าครม.กว่า 5 แสนล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะเข้าประมูลโครงการกว่า 340,000 ล้านบาท และยังมีงานเอกชนกว่า 27,200 ล้านบาท รวมกว่า 368,090 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะได้รับงานใหม่กว่า 40,000-50,000 ล้านบาท

 

ขณะที่ โครงการสายสีชมพูต่อขยาย ซึ่งระยะทาง 2.8 กิโลเมตร โดยเดือนเมษายนที่ผ่านมา ความคืบหน้าในงานโยธาอยู่ราว 60% ขณะที่งานระบบอยู่ราว 42% คาดว่าจะเปิดให้บริการกลางปี 2568 ทั้งนี้หลังจากเปิดให้บริการจะทำให้มีจำนวนผู้มาใช้บริการมากขึ้นเพราะเมืองทองธานีมีกิจกรรมจำนวนมาก เช่น คอนเสิร์ต นิทรรศการ เป็นต้น จะทำให้มีความสะดวกมากขึ้น สำหรับประชาชน  ขณะที่สิ้นสุดไตรมาส 1/2567 จะมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่ 96,170 ล้านบาท โดยจะรีบรู้เป็นรายได้กว่า 3 ปี โดยรวมโครงการอู่ตะเภาที่รอ NTP อยู่ โดยต้องรอว่าจะออกมาช่วงไหน ดังนั้นปีนี้คาดว่ารายได้รวมจะทำได้ 30,000-31,000 ล้านบาท ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นที่ ไม่ต่ำกว่า 5%

 

*STECON GROUP เทรด Q3

 

ในส่วนของการปรับโครงสร้าง STECON GROUP เตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อก.ล.ต. โดยเดินหน้าตามแผน คาดว่าจะเข้าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3/2567 ซึ่งจะเข้าไปเทรดแทน STEC ที่จะมีการออกจากตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายธุรกิจของ STECON POWER ในการมุ่งสู่พลังงานทดแทนมากขึ้น โดยการลงนามสัญญากับ BGRIM นับว่าเป็นโอกาสหากมีโครงการที่น่าลงทุน หรือการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าก็เป็นโอกาสให้บริษัทเข้าไปดำเนินการ ซึ่งนับเป็นการดึงจุดแข็งของแต่ละบริษัทมาเดินหน้าธุรกิจร่วมกันในอนาคตข้างหน้า

 

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงมอง Potential Project สำหรับโครงการปีนี้ออกมาที่ 3.5 แสนล้านบาท และตั้งเป้าหมายงานใหม่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยช่วงกลางปีจะเป็นงานฝั่งเอกชน (สังเกตว่า STEC จะเน้นโรงไฟฟ้ามากขึ้น หลังเห็นทำโครงการ ของ GULF ล่าสุดมาทำ MOU กับ BGRIM อีกราย) หลังจากนั้นจะเข้าสู่โหมด งานภาครัฐ ซึ้ง เร็ว ๆ นี้น่าจะเห็นรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย เข้าพิจารณา จากนั้นจะเป็นกลุ่มมอเตอร์เวย์ นอกจากประเด็นนี้ ช่วง 1-2 เดือนนี้ เชื่อว่าจะเห็นการขยับของ Mega Project อย่างรถไฟความเร็ว สูงสามสนามบิน ซึ่งจะเชื่อมโยงมาต่อที่โครงการเมืองการบินอู่ตะเภาที่ STEC ก็เข้าร่วมอยู่ มองว่าตลาด ไม่ได้คาดหวังกำไรอยู่แล้ว มองราคาบริเวณนี้เป็นโอกาสสะสม ราคาพื้นฐาน 12 บาท

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง