รีเซต

สมรภูมิ AI สหรัฐฯ-จีน เดิมพันนี้ถอยไม่ได้

สมรภูมิ AI สหรัฐฯ-จีน เดิมพันนี้ถอยไม่ได้
TNN ช่อง16
24 ตุลาคม 2568 ( 10:44 )
26

ขณะนี้ถนนทุกสายกำลังมุ่งสู่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ว่าจะการทำงานหรือใช้ชีวิต AI ได้ถูกผสานอยู่ในแทบจะทุกมิติ บริษัทต่าง ๆ ผนวก AI ในการดำเนินงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น ส่วนผู้บริโภคก็ใช้งาน AI ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน ทั้งการสั่งงานสมาร์ตโฟนด้วยเสียง การแปลภาษา หรือแม้แต่ขอคำแนะนำเรื่องแฟชั่นไปจนถึงวางแผนท่องเที่ยว

กระแสบูมของ AI ยังสะท้อนผ่านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นเกี่ยวกับ AI ที่กลายเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” ระบุว่า การใช้จ่ายด้าน AI คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 40 ของการเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นระดับที่สูง ขณะที่บริษัท AI คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 ของการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

AI ไม่ใช่แค่การปฏิวัติทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นตัวเร่งผลิตภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเข้ามีส่งผลต่อการดำเนินงานและการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งหมด และการลงทุนด้าน AI กำลังผลักดันการเติบโตของ GDP และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่มากไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากปัจจัยท้าทายต่าง ๆ อาทิ มาตรการกำแพงภาษี หนี้สินที่พุ่งขึ้น และภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง

 

ขณะนี้เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะการขยับขึ้นของหุ้นที่กระจุกตัวแค่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “บลูมเบิร์ก” ประเมินว่า ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว นับตั้งแต่กระแส AI เริ่มบูมในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2565 ขณะที่หุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) หรือหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ อินวิเดีย, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล, อัลฟาเบต, แอมะซอนดอทคอม, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา พุ่งขึ้นกว่าร้อยละ 260 ในช่วงเดียวกัน แต่แนวโน้มเช่นนี้จะเกิดขึ้นยาวนานแค่ไหน เนื่องจากอุตสาหกรรม AI ต้องลงทุนมหาศาล และยังไม่ทำกำไร

“อินวิเดีย” (Nvidia) ผู้ผลิตชิป AI ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เป็นผู้นำในหุ้นกลุ่ม AI ที่พุ่งแรงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อานิสงส์จากความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นมากทั่วโลก โดยเมื่อวันที่ 30 กันยายน มูลค่าตลาด (market cap) ของ “อินวิเดีย” อยู่ที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นบริษัทแรกที่แตะระดับดังกล่าว หลังจากเดือนกรกฎาคม บริษัทก็เพิ่งทำสถิติแตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นของมูลค่าตลาดที่รวดเร็วมากเมื่อเทียบกับหลักหมุด 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2566 

ในปีนี้ ราคาหุ้น “อินวิเดีย” ปรับขึ้นมาแล้วร้อยละ 39 ขณะนี้มูลค่าตลาดอยู่แถว 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งหมดในประเทศต่าง ๆ อาทิ แคนาดาที่มูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 3.85 ล้านล้านดอลลาร์, ฝรั่งเศส 3.34 ล้านล้านดอลลาร์, เยอรมนี 3 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ “อินวิเดีย” ยังคงดึงดูดความสนใจของนักลงทุน จากการที่บริษัทเดินหน้าลงทุนและทำข้อตกลงกับบริษัทต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ “โอเพนเอไอ” (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) และ “ออราเคิล” ซึ่งน่าจะใช้ชิปประมวลผลกราฟิก (graphics processing unit-GPU) ของ “อินวิเดีย” หลายแสนตัว


แต่ความสำเร็จที่โดดเด่นดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ “อินวิเดีย” รอดพ้นจากผลกระทบท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เพราะชิปของ “อินวิเดีย” ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองการค้าระหว่าง2 ฝ่าย ก่อนหน้านี้ “อินวิเดีย” มีรายได้จากตลาดจีนคิดเป็นร้อยละ 20-25 แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งให้บริษัทผลิตชิปเวอร์ชันที่ลดประสิทธิภาพลงสำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ ขณะที่ทางการจีนตอบโต้ด้วยการห้ามบริษัทในประเทศใช้ชิปรุ่นดังกล่าวและสนับสนุนให้ใช้ชิปที่ผลิตขึ้นเองแทน ล่าสุด “เจนเซน หวง” CEO ของ “อินวิเดีย” กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ออกจากตลาดจีนอย่างสมบูรณ์แล้ว จากส่วนแบ่งตลาดที่เคยอยู่ที่ร้อยละ 95 ลดเหลือ 0

แนวรบด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังปะทุขึ้นเป็นระยะ ๆ ขณะที่สงครามการค้าในภาพรวมก็ร้อนระอุขึ้นเช่นกัน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกร้อยละ 100 เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่เก็บในอัตราร้อยละ 30 ทำให้ภาษีรวมอยู่ที่ร้อยละ 130 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ตอบโต้จีน กรณีออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากรอบใหม่ แต่จีนก็ประกาศจะสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ 

ล่าสุดมีรายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ ไปยังจีนหลากหลายประเภท ตั้งแต่แล็ปท็อปไปจนถึงเครื่องยนต์เครื่องบิน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดระหว่างกัน เพราะผลิตภัณฑ์จำนวนมาก ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าไปจนถึงอุปกรณ์อุตสาหกรรมต่างก็ใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ อย่างกรณีที่ทางการสหรัฐฯ ห้ามส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (Electronic Design Automation-EDA) เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ก็ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง อาทิ เสียวหมี่และเลอโนโว ทั้งนี้ ซอฟต์แวร์ถือเป็นจุดแข็งที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญมาตลอด แต่อีกด้านของเหรียญ มาตรการควบคุมดังกล่าวก็อาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เอง 

เหตุผลที่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ไม่อาจยอมถอยในสมรภูมิ AI เพราะต่างก็สำคัญสำหรับเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ ในฝั่งของจีนตั้งเป้าเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกภายในปี 2573 โดยปัจจุบันแพลตฟอร์ม AI ของจีนมีศักยภาพเกือบจะเท่าสหรัฐฯ ทั้งที่ถูกสกัดเรื่องเซมิคอนดักเตอร์มาตลอดหลายปี แต่อุปสรรคดังกล่าวกลับทำให้ทางการจีนและบริษัทท้องถิ่นเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะตระหนักดีถึงบทบาทของ AI ที่จะกำหนดชะตากรรมของโลก 

จีนประกาศวิสัยทัศน์ในการเป็นมหาอำนาจด้าน AI เมื่อปี 2560 และได้ทุ่มเงินมหาศาลในการส่งเสริมนวัตกรรมภายในประเทศ ประเมินว่า ภายในปี 2568 เพียงปีเดียว จีนใช้งบประมาณเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์ ในการพัฒนา AI และผลงานของจีนก็โดดเด่นขึ้น อย่างกรณีของ “ดีปซีก” (DeepSeek) สตาร์ตอัป AI สัญชาติจีนที่พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เทียบเท่ากับ “แชตจีพีที” (ChatGPT) ของค่ายโอเพนเอไอ (OpenAI) และ “กร็อก” (Grok) ของ “อีลอน มัสก์” โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันแต่มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีน อาทิ “อาลีบาบา” ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซ ก็เปิดตัวโมเดล AI ใหม่ที่ทรงพลัง และประกาศแผนการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่วน “เทนเซนต์” ก็เพิ่มแรงเหวี่ยงด้วยการเปิดตัว “หุนหยวน -A13B” (Hunyuan) โมเดล AI ที่ได้รับการออกแบบให้รวดเร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และเปิดรับนักพัฒนาจากทั่วโลก ซึ่งนี่สะท้อนว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนต่างเอาจริงเอาจังกับการท้าชนความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ และยังสะท้อนถึงความร่วมมือกันของผู้เล่นหลักในระบบนิเวศ AI ของจีนทั้งหมด เพื่อต่อกรกับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ตอัป ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และรัฐบาล ก่อนหน้านี้ “เจนเซน หวง” CEO ของอินวิเดีย ออกมาเตือนว่า สหรัฐฯ ไม่ได้นำหน้าจีนมากนักในด้าน AI และสังคมจีนปรับตัวรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

หนึ่งในจุดแข็งของจีน คือ จำนวนประชากรที่ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 1.1 พันล้านคนเปรียบเสมือนสนามทดสอบขนาดใหญ่ จึงช่วยให้ผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ ๆ แพร่หลายได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับโมเดล AI ของจีนมีต้นทุนต่ำกว่า และส่วนใหญ่ใช้โมเดลแบบโอเพนซอร์สที่เปิดรับนักพัฒนาทั่วโลก ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้โมเดล AI แบบปิด

อย่างไรก็ตาม บริษัท AI ของจีนก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นกัน ข้อมูลจากสื่อทางการจีน ระบุว่า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทจีนเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่มากกว่า 1,500 โมเดล ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 จาก 3,755 โมเดลที่เปิดตัวทั่วโลกภายในช่วงกลางปี การแข่งขันดังกล่าวอาจทำให้สตาร์ตอัปบางส่วนล้มหายตายจาก ทำให้รัฐบาลจีนออกมาเตือนให้บริษัทเทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่นำไปสู่ความวุ่นวาย

ปัจจุบัน จีนมีโมเดล AI ติดอันดับท็อป 20 ของโลก มากถึงถึง 14 โมเดล เมื่อจัดอันดับตามเกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ การใช้เหตุผล ความรู้ คณิตศาสตร์ และการเขียนโค้ด ตามการจัดอันดับของ OpenCompass เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าโมเดลจาก OpenAI จากสหรัฐฯ จะครองแชมป์ แต่โมเดล AI จากจีน 9 โมเดลเป็นโอเพนซอร์ส ในขณะที่สหรัฐฯ เป็นโมเดลแบบปิดทั้งหมด 6 โมเดล

ศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งชาติจีน (China Internet Network Information Centre) ระบุว่า การใช้ AI แบบรู้สร้าง (generative AI) เติบโตอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยมีผู้ใช้งานถึง 515 ล้านคน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากสถิติในเดือนธันวาคม ปี 2567 นอกจากนี้ จีนยังเป็นผู้นำโลกในด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยในเดือนเมษายน จีนยื่นขอจดสิทธิบัตรด้าน AI กว่า 1.57 ล้านฉบับ คิดเป็นเกือบร้อยละ 39 ของจำนวนสิทธิบัตรทั้งหมดทั่วโลก

ปัจจัยหนุนมาจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้ AI มีส่วนขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ กลยุทธ์ AI Plus ของจีนมีเป้าหมายในการผนวก AI เข้ากับทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ ผู้ใช้ส่วนใหญ่พึ่งพาแพลตฟอร์มในประเทศเนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงแพลตฟอร์มต่างชาติ และคนรุ่นใหม่และผู้มีการศึกษาสูงครองฐานผู้ใช้งานส่วนใหญ่ สะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลในการส่งเสริมความรู้ด้าน AI ในกลุ่มประชากรหลัก ทั้งนี้ งานวิจัยของ “ไมโครซอฟท์” ระบุว่า จีนมีตลาด AI ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐฯ ในแง่จำนวนผู้ใช้งานทั้งหมด และระบบนิเวศภายในของจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว 

การนำเทคโนโลยี AI มาใช้อย่างแพร่หลาย สะท้อนให้เห็นถึงแรงผลักดันเชิงกลยุทธ์ที่จะพึ่งพาตนเองทางด้านเทคโนโลยี และส่งผลให้จีนเป็นผู้นำระดับโลกในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง