CITY ขาดทุน 21 ล. ขายฝืด-ค่าไฟแพง-บาทแข็ง

บริษัท ซิตี้ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ CITY แจ้งผลงานงวด 9 เดือน ขาดทุน 21 ล้านบาท ลดลง 731%จากงวดเดียวกันปีก่อน เหตุเศรษฐกิจชะลอตัว ลูกค้าลดปริมาณการสั่งซื้อ และไม่มีการสั่งซื้อหรือลงทุนเพิ่มเติม ค่าไฟฟ้าและพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และเงินบาทแข็งค่าทำให้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
บริษัท ซิตี้ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ CITY แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2566 ขาดทุนสุทธิ 8.26 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.02754 บาท ลดลง 211% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.48 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02492 บาท สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ขาดทุนสุทธิ 21.27 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.07089 บาท ลดลง 731% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.01123 บาท
บริษัทชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3และงวด 9เดือน ปี 2565/2566 ระบุว่าในไตรมาส 3 ปี 2565/2566กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 17.58ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2564/2565 ซึ่งมีรายได้รวมเท่ากับ 48.82ล้านบาท เป็นจำนวน 31.24ล้านบาท หรือเท่ากับ 177.70% โดยการลดลงของรายได้เป็นผลมาจากความต้องการในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทมีการปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทลดปริมาณการสั่งซื้อและไม่มีการสั่งซื้อหรือลงทุนเพิ่มเติม
จากการที่ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทเป็นสินค้าทุน ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวโอกาสที่ลูกค้าของกลุ่มบริษัทจะมีการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต จึงเป็นไปได้ยากมาก ซึ่งส่งผลให้รายได้สำหรับงวด 9เดือน ปี 2565/2566ปรับลดลงด้วย โดยลดลง 20.97ล้านบาท หรือ 19.23%จาก 109.05ล้านบาท ในปี 2564/ 2565 เหลือ 88.08ล้านบาท ในปี 2565/2566 จากการปรับตัวลดลงของรายได้ที่ค่อนข้างมากในไตรมาสที่ 3 ประกอบกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายหลายรายการเป็นต้นทุนและค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างและเงินเดือน และค่าเสื่อมราคา จึงทำให้กลุ่มบริษัทไม่สามารถปรับลดค่าใช้จ่ายลงให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงได้
นอกจากนั้นอัตราค่าไฟฟ้าและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3ที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และจากการที่ปริมาณคำสั่งซื้อปรับตัวลดลง กลุ่มบริษัทจึงได้ใช้ช่วงเวลานี้ในการซ่อมแซมสินทรัพย์ต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานจึงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของกลุ่มบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ในไตรมาส 3 ปี 2565/2566ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 8.26 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 7.48 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2564/2565เท่ากับ 15.74ล้านบาท
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว การแข็งค่าขึ้นอย่างค่อนข้างมากของค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ณ วันที่ 31กรกฎาคม 2565ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนค่อนข้างมากและก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มบริษัทมีผลประกอบการขาดทุน
โดยในรอบ 9 เดือนของปี 2565/2566 กลุ่มบริษัทมีขาดทุนสุทธิเท่ากับ 21.27ล้านบาท ลดลงจากกำไร 3.37ล้านบาท ในปี 2564/2565เท่ากับ 24.64 ล้านบาท หรือ 731.16%