สธ.แจงแนวทางรักษาผู้ติดเชื้อโอมิครอน รักษาที่บ้าน 10 วัน ยันอาการที่พบมากสุด ไอ-เจ็บคอ
ข่าววันนี้ 10 มกราคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงถึงการเตรียมระบบรักษาพยาบาลรองรับการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ว่า ผู้ติดเชื้อโอมิครอนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48 ไม่มีอาการ ส่วนอาการของโอมิครอนที่พบมาก คือ ไอ ร้อยละ 54 เจ็บคอ ร้อยละ 37 และไข้ ร้อยละ 29 จึงเน้นการดูแลที่บ้าน (Home Isolation) และชุมชน (Commuity Isolation) เป็นหลัก ซึ่งการนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบรักษาพยาบาลมี 3 แบบ คือ 1.ไปตรวจที่โรงพยาบาล (รพ.) 2.ตรวจที่หน่วยบริการเชิงรุก ซึ่ง 2 แบบนี้หากผลตรวจเป็นบวก ไม่ต้องติดต่อสายด่วน 1330 โดยหน่วยตรวจจะดำเนินการให้ และ 3.การตรวจ ATK ด้วยตนเอง หากผลเป็นบวก ให้โทร.1330 ช่องทางที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมไว้ รวมถึง ปลัด สธ.ยังสั่งการให้ทุกจังหวัดจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด เพื่อเป็นอีกช่องทางรองรับผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวกในการติดต่อด้วย
“หากทำ HI/CI แล้วอาการมากขึ้น จะมีการประเมินและจะส่งต่อผู้ป่วยไปยังฮอสปิเทล (Hospitel) หรือ รพ.สนาม หรือ รพ.หลัก ต่อไป ซึ่งภาพรวมใช้เวลารักษา 10 วัน ไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนก็กลับบ้านได้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สำหรับเกณฑ์การส่งต่อผู้ป่วยเข้า รพ. 1.ไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส มากกว่า 24 ชั่วโมง 2.หายใจเร็วกว่า 25 ครั้งต่อนาที (ผู้ใหญ่) 3.ออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า ร้อยละ 94 4.โรคประจำตัวที่มีการเปลี่ยนแปลง กลุ่ม 608 ที่มีความเสี่ยง หรือผู้ติดเชื้อที่จำเป็นต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิดตามดุลยพินิจของแพทย์ และ 5.สำหรับในเด็ก อาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนม หรือรับประทานอาหารได้น้อยลง
“ส่วนกรณีผลตรวจ ATK เป็นลบ แต่ยังมีอาการทางเดินหายใจ ให้ตรวจ ATK อีกครั้ง หากผลยังเป็นลบอยู่และมีอาการมาก ก็ให้ไปตรวจซ้ำที่คลินิกไข้หวัด รพ.ใกล้บ้าน แต่หากผลลบ ไม่มีอาการ เป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงต่ำก็เน้นการป้องกันตนเอง ถ้าเป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงให้กักตัวเอง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนอัตราการครองเตียง ซึ่งปัจจุบันมีเตียงประมาณ 1.78 แสนเตียง ภาพรวมช่วงต้น เดือนมกราคม มีการครองเตียงเพิ่มขึ้นจากช่วงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยภาพรวมประเทศช่วงสิ้นปีมีการครองเตียง ร้อยละ 11 วันที่ 9 มกราคม เพิ่มเป็น ร้อยละ 22.7 ส่วนกรุงเทพมหานคร สิ้นปีอยู่ที่ร้อยละ 12.2 วันที่ 9 มกราคม เพิ่มเป็น ร้อยละ 30.7 แต่เตียงสีเหลืองและสีแดงมีการครองเตียงลดลง ที่เพิ่มขึ้นคือ เตียงสีเขียว
“จึงขอความร่วมมือใช้ HI/CI ก่อน แต่ที่ต้องมีเตียงสีเขียวไว้เพื่อรองรับ เช่น กรณีผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 1 ปี หรือสูงอายุ 80-90 ปี ที่หากติดเชื้อแล้วอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว แพทย์อาจขอให้แอดมิทไว้ก่อน ซึ่งแพทย์จะพิจารณาประเมินเป็นรายๆ ทั้งนี้ ย้ำว่าหากติดเชื้อแล้วดูแลด้วย HI/CI First จะทำให้เตียงเพียงพอ ซึ่งระบบ HI จะมีการส่งอาหารและยาตามแนวทางการรักษา โดยฉบับล่าสุด หากไม่มีอาการ แพทย์จะยังไม่ให้ยา แต่ถ้าเริ่มมีอาการจะจ่ายฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเมื่อให้หลังมีอาการไม่เกิน 3-4 วัน ได้ผลดี” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า อาการในเด็กที่ติดโอมิครอนต่างกับผู้ใหญ่อย่างไร นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า เด็กกับผู้ใหญ่อาการต่างกันไม่มาก แต่เด็กอาจมีเรื่องของซึม ดูดนมหรือกินอาหารน้อยลง ต้องสังเกต ที่พบในเด็กเยอะคือ ท้อง
เสีย ถ่ายเหลว ร้อยละ 20-30 ต้องคอยหมั่นสังเกตอาการ ทั้งนี้ เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี หากผลบวกขอให้ไปพบแพทย์เพื่อรับประเมินอาการทุกราย ซึ่งเรามีจัดทีมหมอเด็กเป็นที่ปรึกษาสำหรับแต่ละ รพ. เพื่อประเมินอาการว่าต้องเข้ารักษาที่ รพ.หรือไม่ โดยย้ำว่าไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาใน รพ.ทุกคน ขึ้นกับการประเมินอาการแรกรับ
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ประชาชนที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก ทั้งจากการตรวจด้วย ATK หรือโดยหน่วยบริการ และยังไม่เข้าสู่ระบบการรักษา สามารถติดต่อเข้าสู่ระบบการรักษาได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ สายด่วน 1330 ต่อ 14 ตลอด 24 ชั่วโมง, เว็บไซต์ สปสช. www.nhso.go.th และไลน์ โดยการเพิ่มเพื่อน @nhso ซึ่งทั้ง 3 ช่องทางจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับภายใน 6 ชั่วโมง เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษา
“หากไม่มีข้อห้าม เช่น ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ จะได้รับคำแนะนำให้เข้าระบบการรักษาแบบ HI /CI โดยจะมีการติดตามอาการโดยบุคลากรทางการแพทย์ และนำอาหารวันละ 3 มื้อ, ยาที่จำเป็น, อุปกรณ์ เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน ใช้เวลาในการรักษาตัว ประมาณ 10 วัน ระหว่างรักษาตัวหากผู้ติดเชื้อมีอาการเปลี่ยนแปลง จะนำเข้าสู่ระบบรักษาในขั้นตอนต่อไป” นพ.จเด็จ กล่าว
ทั้งนี้ เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ระบบสายด่วน 1330 รองรับสายเข้าพร้อมกันได้ทั้งหมด 3,000 สาย มีเจ้าหน้าที่รับสายจำนวน 300 คน ตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ซึ่งระยะต่อไปหากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ก็จะเพิ่มจำนวนบุคลากรเพื่อรองรับให้เพียงพอต่อการให้บริการ โดยข้อมูล 24 ชั่วโมงล่าสุด มีผู้โทรศัพท์เข้ามาขอเตียงทั้งหมด 1,054 ราย จากสายโทรศัพท์จำนวน 8,000 ราย ขอให้ความมั่นใจว่าในมีความพร้อมในการให้บริการ โดยไม่มีสายตกค้างหรือตกหล่น พร้อมเตรียมทดลองระบบหากมีผู้โทรเข้าพร้อมกันจำนวน 20,000 สาย