CTO "สตาร์บัคส์" ลาออกปรับโครงสร้างใหม่ ปิดร้าน-เลิกจ้าง

Starbucks แบรนด์ร้านกาแฟระดับโลก เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระดับผู้บริหาร หลัง Deb Hall Lefevre ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยยังไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างถาวร ในบันทึกภายในที่ส่งถึงพนักงานฝ่ายองค์กร แคธี สมิธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ระบุว่าได้แต่งตั้ง Ningyu Chen อดีตรองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีประสบการณ์ระดับโลก ขึ้นมารักษาการแทนชั่วคราว เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านดำเนินไปต่อเนื่อง
การลาออกของ Deb Hall Lefevre เกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ภายใต้การนำของซีอีโอ Brian Niccol ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว โดยบริษัทเพิ่งประกาศลดตำแหน่งงานสายองค์กรรอบที่สอง ซึ่งรวมถึงการปลดพนักงาน 900 ตำแหน่ง และเตรียมปิดร้านสาขาที่ไม่ทำกำไรในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ส่งผลให้จำนวนสาขาในภูมิภาคดังกล่าวลดลงราวร้อยละ 1 หรือหลายร้อยแห่งภายในสิ้นปีงบประมาณ 2025
ด้านยุทธศาสตร์การฟื้นฟูธุรกิจ "Back to Starbucks" มุ่งเน้นไปที่การยกเครื่องระบบเทคโนโลยีในร้าน โดยมีการทดลองใช้ ระบบนับสต็อกอัตโนมัติด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในร้านทุกสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของในอเมริกาเหนือภายในสิ้นเดือนกันยายน นอกจากนี้ยังมีโครงการผู้ช่วย AI สำหรับบาริสต้า ระบบจุดขาย (POS) รูปแบบใหม่ และอัลกอริทึมจัดคิวที่ช่วยให้บาริสต้าจัดลำดับคำสั่งซื้อได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน
Deb Hall Lefevre ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของแมคโดนัลด์ เข้าร่วมสตาร์บัคส์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2022 โดยเข้ามาดูแลระบบไดรฟ์ทรู การสั่งผ่านมือถือ และการจัดการหลังบ้าน แต่ภายหลังระบุว่ามีแผนจะเกษียณ ขณะที่บริษัทชี้ชัดว่าลำดับความสำคัญทางเทคโนโลยียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนั้น แหล่งข่าวยังเผยว่า การปลดพนักงานกว่า 1,100 ตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กระทบต่อทีมไอทีโดยตรง โดยบริษัทได้เพิ่มบทบาทให้กับผู้รับเหมาภายนอกอย่าง Tata Consultancy Services จากอินเดียมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Starbucks ยืนยันว่าจะยังคงมีทีมเทคโนโลยีภายในที่แข็งแกร่ง เพื่อมุ่งเน้นเฉพาะงานและความสามารถที่สำคัญที่สุด
แม้ Starbucks จะเดินหน้าปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง แต่ในเชิงการเงินยังคงเผชิญแรงกดดันหนัก เนื่องจากยอดขายทรุดตัวต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ลดลงกว่า ร้อยละ 12 ตรงข้ามกับดัชนีอย่าง S&P 500 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงสะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลที่ Starbucks ต้องเผชิญ ทั้งจากการแข่งขันในตลาดร้านกาแฟที่รุนแรงขึ้น ภาวะต้นทุนแรงงาน และความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทำให้ Back to Starbucks กลายเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่บริษัทยึดเป็นความหวังสำคัญในการพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาสร้างความเชื่อมั่นได้อีกครั้ง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
