รีเซต

หุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ตัวเลขค้าปลีกต่ำกว่าคาด

หุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ตัวเลขค้าปลีกต่ำกว่าคาด
ทันหุ้น
18 มีนาคม 2568 ( 11:44 )
5


#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส


ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สองติดต่อกัน (S&P500 +0.64%, Dow Jones +0.85% และ Nasdaq +0.31%) โดยราคาหุ้นในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างใน หลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง อาทิ Tesla -4.79%, Nvidia -1.76%, Amazon -1.12% และ Alphabet -0.63%


OECD ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2025-2026 หลังนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์กระทบการค้า โดยคาด GDP โลกจะโตเพียง 3.1% ในปี 2025 และ 3.0% ในปี 2026 ลดลงจากคาดการณ์เดิมในเดือน ธ.ค. ที่ 3.3% (ในปี 2025 และ 2026)


ด้านสหรัฐฯ ถูกหั่นคาดการณ์ GDP เหลือ 2.2% ในปี 2025 และ 1.6% ในปี 2026 ขณะที่แคนาดาและ เม็กซิโกได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดเศรษฐกิจแคนาดาโต 0.7% และเม็กซิโกหดตัว 1.3%

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะยังสูงกว่าคาด โดยสหรัฐฯ อาจเผชิญเงินเฟ้อ 2.8% ในปี 2025 ทั้งนี้ OECD เตือนความไม่แน่นอนทางการค้าจะกระทบความเชื่อมั่นและการลงทุน หนุนให้ทุกฝ่ายหันมาเจรจาและลดการใช้มาตรการกีดกันการค้าเพื่อส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว


สหรัฐฯ เผยตัวเลขยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือน ก.พ. +0.2% MoM ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า (-1.2%) แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาด (+0.6%) โดยยอดค้าปลีกใน 13 หมวดหมู่ มี 7 หมวดหมู่ที่มียอดขายลดลง โดยเฉพาะรถยนต์ซึ่งเดิมถูกคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวจากเดือน มกราคม เช่นเดียวกับยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้าที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่การใช้จ่ายในร้านอาหารและบาร์ ซึ่งเป็นหมวดเดียวของภาคบริการในรายงานยอดค้าปลีกลดลงมากที่สุดในรอบหนึ่งปี

.


ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตาออกมาเปิดเผยแบบจำลอง GDPNow ล่าสุด คาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 1 ปี 2025 จะหดตัว -2.1% แม้ดีขึ้นจากการ คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ -2.8% แต่ยังต่ำกว่าคาดการณ์เมื่อ 7 มีนาคมที่ -1.6% โดยในช่วง ก่อนหน้า (ก่อน 28 ก.พ.) แบบจำลองยังคาด GDP โต 2-4% สอดคล้องกับโมเดลอื่นๆ ที่คาดโตเฉลี่ยเกือบ 2% สำหรับ Q1 ปีนี้


อย่างไรก็ตาม การปรับคาดการณ์ลงโดยหลักเกิดจากการส่งออกสุทธิ (Net exports) ที่เป็นปัจจัยฉุดสำคัญ เนื่องจากการประมาณการว่าการนำเข้าจะเติบโตในระดับสองหลัก ซึ่งน่าจะเกิดจากการเร่งการนำเข้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากต้นทุน นำเข้าที่สูงขึ้นตามแผนปรับขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่

.

- หลี่ ฉุนหลิน รองหัวหน้าคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) เปิดเผยในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นโดยสำนักงานข้อมูลสภาผู้แทนประชาชนว่า รัฐบาลจีนจะจัดสรรพันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาวมูลค่า 3แสนล้านหยวนในปี 2025 เพื่อส่งเสริมและขยายโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าผู้บริโภค ซึ่งมูลค่าดังกล่าวเป็นการเพิ่มขึ้น 100% YoY และในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เงินจำนวน 8.1หมื่นล้านหยวนได้ถูกจัดสรรให้กับรัฐบาลท้องถิ่นเป็นล็อตแรก ทั้งนี้ ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2025 การขายรถยนต์พลังงานใหม่ของจีน (NEVs) เพิ่มขึ้น 26% YoY โดยมียอดขายประมาณ 1.34 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานรุ่นแรก ปรับตัวขึ้น 36% YoY สู่ระดับ 2.41หมื่นล้านหยวน

.

-BYD (1211 HK, 002594 CH) เปิดตัวแพลตฟอร์ม EV ระบบไฟฟ้าแรงดันสูง 1,000 โวลต์ ชูจุดเด่นชาร์จเพียง 5 นาที วิ่งได้ 400 กม. และเตรียมสร้างสถานีชาร์จพลังสูงกว่า 4,000 แห่งในจีน เร่งลดข้อจำกัดของ EV และแข่งขันกับรถยนต์สันดาป ขณะเดียวกัน BYD กำลังพิจารณาเยอรมนีเป็นฐานผลิตแห่งที่ 3 ในยุโรป ต่อจากโรงงานในฮังการีและตุรกี ซึ่งจะทำให้มีกำลังผลิตรวม 500,000 คันต่อปี เพื่อลดภาษีนำเข้าและรองรับดีมานด์ที่เติบโต S&P คาดยอดขาย BYDในยุโรปจะเพิ่มขึ้นจาก 83,000 คันในปี 2024 เป็น 186,000คันในปี 2025 โดย BYD อาจเข้าซื้อโรงงานเดิมของ Volkswagen ในเยอรมนีเพื่อลดต้นทุน ด้านการแข่งขัน ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นอาจต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชาร์จเร็วเพื่อรับมือเทคโนโลยีใหม่ของ BYD


-ฝ่ายกลยุทธ์ฯ ยังคงแนะนำลงทุนใน BYD ซึ่งเป็นตัวเลือกที่มั่นคงในกลุ่มหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า จากการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แบตเตอรี่และแพลตฟอร์ม EV รวมถึงแผนขยายฐานการผลิตในยุโรปที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านภาษีนำเข้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ Valuation ของ BYD ยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของรายได้ และกำไร


นอกจากนั้น เรายังคงแนะนำเก็งกำไรตามแนวรับใน Xpeng (XPEV US, 9868 HK) ซึ่งมีจุดแข็งในเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) และแพลตฟอร์มขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Driving) ที่เป็นจุดเด่นของบริษัท (ความเสี่ยงที่ต้องระวัง: 1. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น 2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น 3. เศรษฐกิจที่ชะลอตัว 4. กฎระเบียบที่เข้มงวด) ขณะเดียวกันXpeng ยังได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถเจาะกลุ่ม SUV และตลาด EVระดับกลางได้ดี ท่ามกลางความต้องการในประเทศจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ บริษัทยังมีโอกาสเติบโตในธุรกิจหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่กำลังพัฒนา แม้ว่าจะยังไม่สามารถทำกำไรได้ชัดเจน แต่จุดแข็งด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของ Xpeng อาจช่วยให้บริษัทสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอนาคต

.

- สำหรับ Xiaomi (1810 HK) แม้จะเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาด EV แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบจากEcosystem ของอุปกรณ์ IoT และสมาร์ทโฟน ที่สามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์อัจฉริยะได้อย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ Xiaomi ยังใช้กลยุทธ์ซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งช่วยให้การอัปเดตฟีเจอร์ของรถสามารถทำได้แบบ over-the-air (OTA) คล้ายกับ Tesla ทำให้เกิดโอกาสสร้างรายได้จากซอฟต์แวร์และบริการเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม Valuation ของ Xiaomi ค่อนข้างสูง จึงแนะนำเพียงเก็งกำไรตามแนวรับ

.

-Broadcom (AVGO US) -0.97%หลังมีรายงานว่า Google อาจร่วมมือกับ MediaTek ในการพัฒนาชิป AI โดยเฉพาะ Tensor Processing Units (TPUs) รุ่นถัดไปซึ่งจะเริ่มผลิตปีหน้าเหตุผลหลักมาจากการเจรจาราคากับ Broadcom ไม่ลงตัว ขณะที่ MediaTek เสนอราคาต่อชิปต่ำกว่าและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของ Google แม้ Google ยังไม่ตัดความสัมพันธ์กับ Broadcom และยังอยู่ระหว่างเจรจา แต่ข่าวนี้สร้างความกังวลว่าความเป็นพันธมิตรพิเศษของ Broadcom อาจลดลง ส่งผลกระทบต่อโอกาสในตลาดชิป AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว


-ฝ่ายกลยุทธ์ฯ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ Broadcom แม้ระยะสั้นจะถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าวแต่เรายังคงเห็นถึงความพยายามของบริษัทในการกระจายการพึ่งพารายได้ในส่วนนี้ซึ่งปัจจุบันมี 3 บริษัท Hyperscaler ที่สร้างรายได้จาก AI ให้ Broadcom และอีก 4 รายอยู่ระหว่างการพัฒนา นอกจากนี้ Broadcom ได้พัฒนา AI Accelerator รุ่นใหม่ด้วยกระบวนการผลิต 2nm ที่มีพลังประมวลผลระดับ 10,000 Teraflops พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่าย AI Cluster ด้วยสวิตช์ Tomahawk 6ที่มีแบนด์วิดท์ 100Tbps ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวดึงดูดความต้องการที่มากขึ้นในอนาคต

1) ตลาด AI Infrastructure กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Broadcom อยู่ในจุดที่เหมาะสมใน Value Chain ของ AI Infrastructure เพราะเป็นซัพพลายเออร์ของ AI Networking ASICs, AI Accelerators และ High-Speed Interconnects ที่เป็นหัวใจของ AI Clusters ขนาดใหญ่


2) AI Networking เป็นจุดที่ Broadcom เหนือกว่าคู่แข่งเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ AI ต้องการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่สามารถรองรับการส่งข้อมูลที่รวดเร็วและมี Latency ต่ำ โดย Broadcom เป็นผู้นำด้าน AI Networking ASICs และกำลังขยายตลาดด้วย Tomahawk 6 (100Tbps Bandwidth) ซึ่งเป็นสวิตช์เครือข่ายที่ช่วยให้ Data Centers เชื่อมต่อ GPU/TPU ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึง Tomahawk 7 & 8 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของ AI Clusters


3) Hyperscaler กำลังแยกความเสี่ยงออกจาก Nvidia และเปิดโอกาสให้ Broadcom โดย Hyperscaler กำลังมองหาทางเลือกอื่นแทนการพึ่งพา Nvidia เพียงเจ้าเดียว ซึ่งเปิดโอกาสให้ Broadcom สามารถเจาะตลาดนี้โดยการเป็นตัวเลือกที่ 2 สำหรับ Hyperscaler ที่ต้องการลดต้นทุนและความเสี่ยงจาก NVIDIA


4) VMware ช่วยให้ Broadcom เปลี่ยนไปสู่โมเดลธุรกิจที่มั่นคงขึ้น โดยรายได้จาก Subscription Model ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อกระแสเงินสดมั่นคงกว่าเดิม จากก่อนหน้านี้ Broadcom พึ่งพารายได้จากเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก ซึ่งอาจมีความผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจ (Cyclical) แต่การควบรวม VMware เปลี่ยน Broadcom ให้เป็นบริษัทที่มี Recurring Revenue มากขึ้น


- แม้ฝ่ายกลยุทธ์ฯ จะยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Chip Design ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI อย่าง Nvidia, Marvell และ Broadcom แต่ด้วยความผันผวนที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายภาษีทางการค้า สภาพเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ เราแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive เพื่อช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง


ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1) การแข่งขันในตลาดชิป AIที่สูงขึ้น 2) การเปลี่ยนโมเดลเป็น Subscription ของ VMware อาจใช้เวลานานกว่าที่คาด 3) ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ที่ไม่ใช่ AI ยังคงซบเซา 4) ภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน


-ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในวันนี้: Industrial Production เดือน ก.พ. (ตลาดคาด +0.2% MoM vs. เดือนก่อน +0.5%)

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง