รีเซต

ทนายความผู้เสียหาย แจงปม "สาวทอม" ออกสัญญาทาส-ข่มขืน โอละพ่อ

ทนายความผู้เสียหาย แจงปม "สาวทอม" ออกสัญญาทาส-ข่มขืน โอละพ่อ
มติชน
11 พฤศจิกายน 2565 ( 08:28 )
345

ทนายความผู้เสียหาย แจงปมสาวทอมออกข่าวสัญญาทาส-ข่มขืน โอละพ่อ แท้จริงสมยอมทำสัญญาเพราะเป็นชู้-ยอมอยู่แบบ 2 เมีย 1 ผัว คาดไม่พอใจจึงออกสื่อเรียกร้องความสนใจ

 

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน กรณีที่ นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความพร้อมด้วย น.ส.เอ๋ (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สาวหล่อ ผู้เสียหายได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ปคม. เพื่อร้องขอความเป็นธรรมหลังถูกคู่สามีภรรยาเจ้าของบริษัทโลจิสติกส์ชื่อดัง ที่เป็นนายจ้างบังคับข่มขืนในลักษณะร่วมเพศพร้อมกัน 3 คน และยังทำสัญญาทาส พร้อมบำเรอความใคร่หลายครั้ง จึงแจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น และข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือไม่กระทำการใดจำยอมต่อสิ่งใด

 

ต่อมาเวลา 22.00 น.วันที่ 11 พฤศจิกายน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.ชลบุรี นายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความของผู้เสียหายเกี่ยวกับคดีสาวทอม แถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า กรณีที่สาวทอมอดีตลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับบัญชี ที่บริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี ไปออกข่าว หรือไปแจ้งความว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือกักขังหน่วงเหนี่ยว ความจริงในเรื่องนี้เบื้องต้นสาวทอมเป็นชู้กับเมียเจ้าของบริษัทโลจิสติกส์แห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรี

 

พอมาถูกจับได้ก็มีการพบปะและเลิกกับภรรยาผู้เสียหายหลายครั้ง ระหว่างที่คบหากันได้มีการพูดจาขอความเห็นใจ และได้เงินจากภรรยาของผู้เสียหายไปไม่น้อยกว่า 500,000 บาท และทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แหวนแบรนด์เนม แต่พฤติกรรมของสาวทอมก็ยังไม่ยอมหยุด จนเวลาเนิ่นนานกว่า 5-6 ปี และมีการจับได้เมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา

 

นายเอกสิทธิ์กล่าวว่า หลังจากนั้นผู้เสียหายฝ่ายชายได้เสนอทางเลือก 2 ทาง คือ ต้องคืนเงินรวมทั้งทรัพย์สินที่ได้ไป หรือหากรักภรรยาของผู้เสียหายมาก เมื่ออยู่กันมา 5-6 ปี จึงเสนอให้มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้ตกลงมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ในลักษณะชาย 1 หญิง 2 มาอยู่บ้านเดียวกัน และมีสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว และมีเพศสัมพันธ์กัน โดยความสมัครใจยินยอมด้วยกันทุกฝ่าย

 

รวมทั้งมีการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อย่างเปิดเผยทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ไปประเทศสิงคโปร์ นอนโรงแรมหรูในพัทยา รวมทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ไปร้านอาหารก็ถ่ายรูปร่วมกันทั้ง 3 คนอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ ยังหลับนอนด้วยกันโดยไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวแต่อย่างใด

 

นายเอกสิทธิ์กล่าวว่า ต่อมาฝ่ายสาวทอมได้มีการร้องขอการไปอยู่ในลักษณะชาย 1 หญิง 2 หากไม่มีการพอใจกันขึ้นมาอาจจะมีการฟ้องร้องในเรื่องของการเป็นชู้ เพราะผู้เสียหายมีทะเบียนสมรสกันอยู่ จึงทำข้อตกลงเพื่อป้องกันตัวเอง โดยมีข้อห้ามในเรื่องการทำร้าย ทำให้เสียชื่อเสียง แต่ข่าวที่ออกไปกลายเป็นสัญญาทาส จากการตรวจสอบหลักฐานแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องของสัญญาทาสแต่อย่างใด แต่เป็นการทำสัญญาที่มีข้อตกลงกันเอง โดยไม่มีการบังคับหรือขู่เข็ญแต่อย่างใด

 

“เมื่อมีการคบกันสักระยะหนึ่งคาดว่าคงมีเรื่องไม่เข้าใจกัน ระหว่าง 2 เมีย 1 ผัว จนเกิดการทะเลาะกัน จึงไปกล่าวหาว่าเป็นเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา ในความเป็นจริงไม่ใช่ และพยายามออกข่าวเพื่อเป็นกระแสสังคมมากดดันพนักงานสอบสวน การมาชี้แจงในครั้งนี้ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและพร้อมจะต่อสู้คดีในชั้นศาล” นายเอกสิทธิ์ กล่าวและว่า

 

หากไม่ออกมาชี้แจง สังคมอาจไม่เข้าใจและฟังข้อมูลฝ่ายเดียว เชื่อว่าประชาชนที่รับข่าวสาร หากมีสติและไตร่ตรอง ก็คงจะมีข้อกังขาในใจ โดนข่มขืนหลายครั้งหลายทีแต่ไม่แจ้งความ ประกอบกับมีภาพประกอบว่าไปเที่ยวด้วยกัน โดยเฉพาะไปต่างประเทศ รวมทั้งสัญญาทาสดูแล้วก็ไม่มีอะไร

 

นายเอกสิทธิ์กล่าวอีกว่า ในเรื่องนี้ไม่กังวลในการต่อสู้คดีในชั้นศาล แต่ต้องมาพูดเพราะว่าหากไม่พูดสังคมจะไม่เข้าใจ สุดท้ายเชื่อว่าคดีจะจบลงด้วยดี เพราะถือว่าเป็นคนในครอบครัว แต่มีปัญหาไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง สุดท้ายหากมานั่งคุยและปรับความเข้าใจกัน เชื่อทุกฝ่ายคงจบลงไปด้วยดี

 

“ส่วนสัญญาที่อ้างว่าเป็นทาสดูแล้ว เป็นเรื่องข้อตกลงมีการคบกัน 3 คน หากจะเลิกก็ต้องสมัครใจเลิกกันทั้ง 3 คน และจะไม่ทำร้ายกัน ซึ่งไม่มีการบังคับอะไรกันเลย ส่วนการประสานงานกับทางสาวทอมนั้น ยอมรับว่าติดต่อไปแล้ว แต่ไม่มีการตอบไลน์ หากพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกมาคงต้องไปชี้แจง ยอมรับว่าสองผัวเมียขณะนี้เครียดมาก จากที่มีข่าวออกมา และทำให้เสียชื่อเสียง ที่สำคัญเป็นการออกข่าวฝ่ายเดียว จึงได้ออกมาชี้แจงข้อมูลให้สังคมทราบบ้าง และผมจะไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 11 พฤศจิกายน เพื่อขอทราบข้อมูล เพื่อมาเตรียมการในการยื่นคำให้การในคดีนี้ต่อไป” นายเอกสิทธิ์กล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง