โบรกฯ มองหุ้นกลุ่มโรงแรมครึ่งปีหลังดีขึ้น จากปัจจัยหนุนภาครัฐ กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวคึกคัก

นักวิเคราะห์ประเมินว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมครึ่งปีหลังดีขึ้น จากปัจจัยหนุนของมาตรการรัฐ ที่จะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวคึก ทั้งสิทธิลดหย่อนภาษีวงเงิน 15,000 บาท ที่จะช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอยในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า-สะดวกซื้อ และประเมินว่าครึ่งปีหลังนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้าในในประเทศไทยยาวถึงต้นปี 2569
การกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึง 10 ส.ค. 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสะสมแล้วกว่า 20 ล้านคน ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มตลาดจากการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงหยุดฤดูร้อนและการมีวันหยุดต่อเนื่องในประเทศญี่ปุ่น
โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 86.33% จากสัปดาห์ก่อนหน้า และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวอันดับที่ 3 จากเดิมในอันดับที่ 5 อีกทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดอิสราเอลที่เดินทางท่องเที่ยวหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติศาสนกิจภายในประเทศในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า
ดังนั้น พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 627,339 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 41,529 คน หรือ 7.08 % คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 89,620 คน และ 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ จีน 102,750 คน , มาเลเซีย 85,622 คน ,ญี่ปุ่น 37,611 คน , อินเดีย 35,387 คน และเกาหลีใต้ 32,320 คน โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น มาเลเซีย และจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 86.33% 10.58% และ 5.55 % ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ และอินเดีย มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น จากต้นปีถึงปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 20,197,119 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 937,653 ล้านบาท โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก คือจีน 2,835,910 คน, มาเลเซีย 2,785,725 คน, อินเดีย 1,426,080 คน,รัสเซีย 1,144,105 คน และเกาหลีใต้ 950,692 คน
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มีมุมมอง เป็นบวก ต่อประเด็นดังกล่าวหากมาตรการนี้เกิดขึ้นจริง เพราะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นได้ดี โดยเฉพาะช่วง Low season (ส.ค.-ก.ย.68) เบื้องต้นคาดว่าจะลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท ซึ่งจะคล้ายกับโครงการ easy E-receipt โดยยังต้องรอรายละเอียดว่าจะใช้แค่เมืองรองอย่างเดียว หรือรวมเมืองหลักด้วย
ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากปี 2567 ที่เคยมีโครงการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดามาแล้วที่ไม่เกิน 15,000 บาท สำหรับค่าที่พักและค่ามัคคุเทศน์ แต่ใช้ได้เฉพาะเมืองรอง 55 จังหวัด เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ค.-30 พ.ย.2567 ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ในช่วงไตรมาส 2-3 ปี่ 2567 เติบโตได้ราว 3-6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มโรงแรมในประเทศจะได้ประโยชน์ โดยเรียงจากมากไปน้อยคือ ERW, CENTEL, MINT และ SHR โดยยังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มท่องเที่ยวเป็น “เท่ากับตลาด” และเลือก CENTEL เป็น Top pick ส่วน ERW จะเป็นหุ้นที่ได้ sentiment เชิงบวกมากที่สุดเพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศสูงถึง 88% ของรายได้รวม และครอบคลุมในเมืองรองสูงจาก Hop Inn อีกด้วย
สำหรับ ปัจจัยพื้นฐานและคำแนะนำการลงทุนของ ERW ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรไตรมาส 2 จะลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จาก Low season ของไทย โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 268 ไว้ที่ 772 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวที่มากที่สุดในกลุ่มฯ เนื่องจากจะมีการ Renovate ที่ Grand Hyatt Erawan ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 20% ในไตรมาส 3-4 ปีนี้ให้คำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท
ส่วน MINT ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 68 ที่ 9.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะไทยและยุโรป ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34 บาท
ขณะที่ CENTEL ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปกติไตรมาส 2 อาจจะเห็นการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน (เดิมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น) อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท ลดลง 5% จากปีก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้คาดหวังกำไรจะฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 4 ปี 68 ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท
สุดท้าย SHR ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 68 อยู่ที่ 375 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133% จากปีก่อน จากการไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจาก SO Maldives และมีการบริหารค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยดีขึ้น คาดไตรมาส 2 จะพลิกกลับมาเป็นขาดทุนจาก Low season และจะพลิกกลับมาเป็นกำไรในไตรมาส 3 จากยอด On the book ที่ฟื้นตัวได้ดีทั้งไทยและมัลดีฟส์ ด้าน UK ยังคงเป็นช่วง High season ให้คำแนะนำ “ถือ” และราคาเป้าหมาย 1.85 บาท
บล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น MINT ให้ราคาเป้าหมาย 38.60 บาท/หุ้น เพราะแผนการขาย REIT คาดเลื่อนเป็นช่วงไตรมาสแรกปี 2569 จากช่วครึ่งหลังปี 2568 เนื่องจากจะทำการ Delisting หุ้น MHEA ในสเปนก่อน คาดว่าจะใช้เงินราว 2.5-3.0 พันล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นอีก 4% ในตลาด โดยการ Delisting ครั้งนี้จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารงานมากขึ้น และเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงานในอนาคต
อีกทั้ง MINT จะเน้นขยายธุรกิจแบบ Asset Light Model ทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร โดยจะใช้เงินลงทุนที่ลดลง และระยะการคืนทุนเร็วขึ้น ด้วยการอยู่ระหว่างการ Renovate 11 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะ Room Inventory ใหม่ จะเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2568-ไตรมาสแรกปี 2569 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศ และ คาด ADR จะสามารถเติบโต 20% จากเดิม ปัจจุบันมีโรงแรมที่ Maldives จำนวน 9 แห่ง ส่งผลให้มี Market Share รวมทั้งขยายธุรกิจ Food ไปยังประเทศอินโดนีเซยีและอินเดีย ที่มีการเติบโตของ Consumption rate ที่สูง และเพิ่มแบรนด์ร้านอาหารใหม่ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และเพิ่มความหลากหลาย
โดยโรงแรมในประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างการ Renovate 11 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะ Room Inventory ใหม่ จะเสร็จในช่วงไตรมาส 4/2568 และไตรมาสแรกปี 2569 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศ คาด ADR จะสามารถเติบโต 20% จากเดิม ปัจจุบันมีโรงแรมที่ Maldives จำนวน 9 แห่ง ส่งผลให้มี Market Share
ขณะดอกเบี้ยยังคงลดลงจากปีก่อน ผลจากการคินเงินกู้คาดกำไรไตรมาส 3/2568 นี้จะปรับตัวสูงขึ้นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของโรงแรมในยุโรป จึงยังคงคาดกำไรปกติปี 68 ที่ 7.27 พันล้านบาท เติบโต 6.9% เทียบปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 38.60 บาท โดย MINT เป็น Top Pick ของกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากมีฐานรายได้จากต่างประเทศกว่า 70% ส่งผลให้ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลงอย่างจำกัด
บล.กสิกรไทย มีมุมมองอนุรักษ์นิยมมากขึ้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า จึงปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าปี 2568 จาก 35.9 ล้านคน เหลือ 34.5 ล้านคน ซึ่งลดลงจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567
ทั้งนี้ สมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า และ กลุ่มโรงแรมยังต้องรอปัจจัยกระตุ้น ทั้งนี้ สมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าปี 2568 อยู่ในระดับเดียวกับประมาณการของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งถือว่ามีความระมัดระวังมากกว่าประมาณการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ 40 ล้านคน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 39.5 ล้านคน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 38 ล้านคน มุมมองระมัดระวังของเราสะท้อนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีน
โดย ยังคงมุมมองเป็นกลางสำหรับกลุ่มโรงแรม แต่มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า หลังจากที่ ททท. รายงานการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าติดต่อกัน 3 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2568 นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่ผลักดันกลุ่มธุรกิจนี้
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของราคาหุ้น เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันได้สะท้อนการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าไปแล้ว และหุ้นโรงแรมไทยในปัจจุบันยังดูถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นโรงแรมในภูมิภาค ทั้งในแง่ของ PER, PBV และ EV/EBITDA และให้หุ้นเด่น CENTEL แนะนำ “ถือ” 30.73 บาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ประเมินหลังครึ่งปีแรก ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยว 16.69 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 7.43 แสนล้านบาทอย่างไรก็ตาม ภาพรวมบ่งชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากประเด็นความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
ดังนั้น จึงปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงเป็น 34.1 ล้านคน (จากเดิม 36.5 ล้านคน)และปี 2569 ลงเป็น 35.5 ล้านคน (จากเดิม 38.0 ล้านคน ) ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการใหม่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในครึ่งแรกปี68 จะคิดเป็น 48.9% ของหน้านี้โดยมีปัจจัยลบ ทั้งแผ่นดินไหว,สงครามการค้าสหรัฐและเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างไรก็ตาม
จึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ Overweight โดยเลือก MINT เป็นหุ้นเด่นของในกลุ่มนี้และประเมินราคาเป้าหมายกลางปี69F ที่ 33.50 บาท (อิงจาก EV/EBITDA ที่ 9x หรือเท่ากับ -1.0S.D.)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
