รีเซต

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
17 พฤศจิกายน 2566 ( 09:39 )
36

#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,405-1,425 จุด โดยกลุ่มพลังงานต้น-กลางน้ำคาดว่าจะถ่วงตลาดหลังราคาน้ำมันดิบร่วงแรง 5% จากความกังวล Demand ที่ชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ Supply สูงขึ้น แต่กลุ่ม Anti-Commodity เช่น โรงไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น ค้าปลีก ไฟแนนซ์ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากแนวโน้มเงินเงินเฟ้อที่ชะลอและกำลังซื้อที่ดีขึ้น ตลาดยังคงให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่จบลงแล้ว และโฟกัสที่ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้นว่าจะชะลอตัวเร็วเพียงใดและมีแนวโน้ม Soft Landing ได้หรือไม่ ทำให้ Bond Yield ยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว 

 

ส่วนปัจจัยในประเทศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามคือ GDP 3Q23 ที่จะประกาศวันจันทร์หน้า ตลาดคาด +1.3% q-q, +2.1% y-y เร่งตัวขึ้นจาก 2Q23 เรามอง SET Index ที่ปรับตัวลงเกือบ 10% จาก High เดือน ส.ค. สะท้อนปัจจัยลบไปมากพอสมควรทั้งการปรับประมาณการกำไรบจ.และ De-rated Valuation เราจึงมองดัชนีที่ระดับ 1,400 จุดหรือต่ำกว่าเริ่มมี Downside จำกัดมากขึ้น เรามองกรอบล่างของดัชนีที่ 1,320-1,360 จุด หากปรับลงแตะระดับดังกล่าวจะเป็นโอกาสสะสมหุ้นเพิ่มสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

 

กลยุทธ์ : เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหากรอบ 1,320-1,360+- จุด

หุ้นเด่นเดือน พ.ย.:  AOT, BH, CENTEL, CPN, SISB

 

หุ้นเด่นวันนี้ : AAV

• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท

• คาดผลการดำเนินงานมีลุ้นพลิกมากำไรใน 4Q23 จากภาคการท่องเที่ยวที่เข้า High Season หนุน Load Factor ล่าสุดแตะระดับ 95% และบริษัทมองราคาตั๋วปรับขึ้น 15-20% q-q รวมถึงมีแผนเพิ่มเที่ยวบินจีน อินเดีย ฮ่องกง

• คาดกำไรปกติปี 2024 เร่งขึ้นเป็น 1.4 พันลบ.จากปี 2023 ที่คาดมีกำไรบางๆใกล้เคียงระดับ Breakeven ส่วนระยะสั้นได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเป็นบวกต่อต้นทุน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าทำให้คาดว่าไม่มี FX Loss กดดันเหมือน 3Q23

• แนวรับ 2//1.95-1.93 บาท แนวต้าน 2.12-2.16//2.26 บาท

 

**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ แกว่งกรอบแคบก่อนเข้าวันหยุด ดัชนีฯ ขึ้นทดสอบ 1420 จุด และรับรู้ข่าวบวกไปมากแล้ว Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ อ่อนตัวลงมาที่ 4.45% ตามตัวเลขเศรษฐกิจ แต่ตลาดเอเซียจะไม่รับรู้ในทางบวก แต่อาจมีความสับสน และรอดูรายงานประชุม FOMC สัปดาห์หน้า (21)

 

• ราคาน้ำมันดิบ ยังไหลต่อ จากตัวเลข Stock น้ำมันและภาวะเศรษฐกิจ โดย Brent ลงมาแตะ $77 เหรียญ เป็นลบต่อ PTTEP แต่บวกต่อผู้ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบ(ต้นทุน)

 

• อิสราเอล รุกเข้าโรงพยาบาลอา-ชีฟา แล้ว แต่สถานการณ์ยังควบคุมได้ ความกังวลในเรื่องนี้ลดลงตามลำดับ

 

• นายกฯ เตรียมแถลงใหญ่สิ้นเดือนพ.ย.มาตรการแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ  อาจมีผลต่อหุ้นกลุ่มการเงิน ปกติมาตรการลูกหนี้ของภาครัฐมักจะเป็นลบหุ้นในกลุ่มนี้

 

• Bond Yield ของไทยลดลง (10 ปี =3.02%)  เงินบาทแข็งค่า (35.20) และต่างชาติกลับมาซื้อในบางวัน เป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นไทย ที่นักลงทุนกลุ่มนี้มีแนวโน้มขายหุ้นไทยลดลง

 

Strategy

• ดัชนีฯ ดีดกลับมาค่อนข้างเร็ว ใกล้ 1420 จุด (high เดิม) ทยอยเข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่พักตัว สลับขายทำกำไรช่วงสั้นด้วย(เปลี่ยนตัวเล่น)  โดยหุ้นซื้อเน้นตัวที่มีส่วนผสม 3 อย่าง คือ ราคาต่ำ-กำไรฟื้น-ESG

 

• ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่ำกว่า $80 เหรียญ (Brent) ควรชะลอการซื้อ PTTEP ไปก่อน (รอซื้อที่ $75 เหรียญ)  แต่หุ้นปิโตรเคมี จะได้ประโยชน์ เก็งกำไรหุ้น  (IVL, PTTGC, SCGP)  รวมทั้งหุ้นโรงไฟฟ้า (EA, BGRIM)

 

• ตลาดกำลังเล่นในเรื่องการตั้งกองทุน ESG ของไทย เราแนะให้เลือกเก็งกำไรจากหุ้น ESG ที่อยู่ใน MSCI อยู่แล้ว 15 ตัว คือ  SCGP, MTC, IVL, OR, BDMS, SCC, ADVANC, DELTA, EA, SCB, KBANK, CRC, TRUE , KTB, TOP

 

• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ TIDLOR, KBANK ออก และนำ BGRIM เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตวันนี้ ประกอบไปด้วย BGRIM(10%), EA(10%), IVL(10%), BDMS(10%), TRUE*(10%)

 

Strategy Stock Pick

BGRIM : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 27.50 บาท)   “ แรงกดดันลดลงตามราคาน้ำมัน ”

• ราคา BGRIM ยังเดินหน้าต่อ คาดว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง (Brent ลงมาต่ำกว่า $80 เหรียญ) ทำให้สถานการณ์ในเชิงลบ ค่อยๆ ดีขึ้น ขณะที่นโยบายภาครัฐ คาดว่าจะเป็นลบต่อหุ้นน้อยลงด้วย

• ประเด็นของค่าไฟและต้นทุน Gas คาดจะมีความสอดคล้องกันมากขึ้น คือไม่กดดันโรงไฟฟ้าเอกชนเหมือนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้กำไรของ BGRIM มีโอกาสที่จะรักษาระดับ 5-600 ล้านบาท/ไตรมาส ได้อีกครั้ง

•  เรากำลังรอดูการเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ของบริษัทฯ ในการต่อยอดกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 10,000 MW (ล่าสุด 3,690 MW)  ทั้งในส่วนของการลงทุนใหม่ๆ และการ Funding เงินลงทุนในอนาคต

 

Technical:   ITC, KAMART 

 

**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET มีโอกาส Sideway ในกรอบแนวรับ 1,405 – 1,410 แนวต้าน 1,420 – 1,425 ได้แรงหนุนจากวงจรขาขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐใกล้ยุติ และรอรายงาน GDP ไทย Q3/66 แนะนำทยอยซื้อ GULF,GPSC (+US Bond Yield ลดลง)/ PTTGC,TOP,SCGP ราคาหุ้นค่อนข้างต่ำ/ CPALL,CPAXT,DOHOME ม.กระตุ้นกำลังซื้อ E-Refund    

 

SJWD* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 18.70 บาท) บริษัทรายงานกำไร 3Q66 ที่ 140 ล้านรบาท +8%QoQ, +25%YoY หนุนจากรายได้ที่เติบโตและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น ช่วยชดเชยค่าใช่ใช้จ่าย Oe-time ที่มาจากการรับโอนกิจการของ SCGL จำนวน 97 ล้านบาท และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนได้ทั้งหมด แนวโน้ม 4Q66 คาดกำไรเร่งตัวขึ้นต่อเพราะไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว ขณะที่ธุรกิจหลักจะได้แรงหนุนจากธุรกิจบริหารคลังสินค้า ห้องเย็น เนื่องจากการความต้องการใช้บริการรับฝากและบริหารยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นจาก EV Car และอัตราการเช่าพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นสำหรับอาหารทะเล รวมถึงธุรกิจขนส่งรายได้จะเห็นการฟื้นตัวขึ้นตามความต้องการขนส่งถ่านหินหลังจากราคาในตลาดโลกทยอยลดลงและการขนส่งซีเมนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูการก่อสร้าง ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66-67 อยู่ที่ 766 ล้านบาท (+52%YoY) และ 1.15 พันล้านบาท (+51%YoY)

 

CK (ซื้อสะสม / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท) กำไรสุทธิงวด 3Q66 อยู่ที่ 641.05ลบ. (+31.86%QoQ,+12.17%YoY) ได้แรงหนุนจากปัจจัยบวก เงินปันผล TTW* และรายได้ก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น +144%YoY จากโครงการใหม่ๆที่ทะยอยรับรู้รายได้ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง ส่วนการดำเนินงานช่วงถัดไป คาด 4Q66 มีโอกาสอ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ภาพรวมปีนี้และปีหน้ายังเป็นบวกจากการประมูลงานใหม่ๆ ขณะที่กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างจัดทำกรอบวงเงินงบ 2.8 แสนลบ. ตย.โครงการ เช่น โครงการโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง, ทางหลวงแผ่นดิน เป็นต้น 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง