รีเซต

ศูนย์จีโนมฯ ตอบชัดทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน"

ศูนย์จีโนมฯ ตอบชัดทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน"
TNN ช่อง16
21 ธันวาคม 2564 ( 08:43 )
100
ศูนย์จีโนมฯ ตอบชัดทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ "โอมิครอน"

วันนี้( 21 ธ.ค.64) ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ (Center for Medical Genomics) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ชนิด B.1.1.529 หรือ "โอไมครอน"

โดยระบุข้อความว่า "คำถามสำคัญเกี่ยวกับ “โอมิครอน” ที่สื่อมวลชนและประชาชนสอบถาม “ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ” เข้ามามาก ปรับปรุง 20/12/2021

1. โอมิครอนมีแหล่งกำเนิดมาจากที่ใด มี time line อย่างไร

จากการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของ “โอมิครอน” ย้อนกลับคาดว่าเกิดเป็นโรคอุบัติใหม่ในทวีปแอฟริการาวเดือน ตุลาคม 2564 

9 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่แล็บของ “Lancet Laboratories ใน พริทอเรีย หนึ่งในเมืองหลวงสามเมืองของแอฟริกาใต้” ตรวจพบความผิดปรกติในการตรวจ PCR คือตรวจไม่พบหนึ่งใน 3 ยีน  (S gene dropout หรือ S gene target failure)

24 พฤศจิกายน 2564 ประเทศแอฟริกาใต้ แจ้งให้ WHO  ทราบ ถึงการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ “B.1.1.529” โดยจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบว่ามีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัส “Wuhan” ถึง “60 ตำแหน่ง” โดยเฉพาะบริเวณหนาม ต่างไปถึง “35 ตำแหน่ง” (ภาพ 1)

26 พฤศจิกายน 2564  WHO ตั้งชื่อตามอักษรกรีกลำดับที่ 15 ว่า “โอมิครอน” (ภาพ 2)

2. โอมิครอน จะมีการระบาดเข้ามาแทนที่ “เดลตา” ได้อย่างสมบูรณ์ หรือ จะกลายเป็น Twindemic (Twin-แฝด + Pandemic-การระบาดใหญ่) กล่าวคือ เกิดการระบาดสองสายพันธุ์ (เดลตา และ โอมิครอน) ไปพร้อมกัน

ข้อมูลจากแอฟริกาใต้ แสดงให้เห็นว่า “โอมิครอน” เข้ามาแทนที่ “เดลตา” เป็นที่เรียบร้อย

ข้อมูลจากสวีเดน โอมิครอน” กำลังระบาดเข้ามาแทนที่ “เดลตา” ในอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า แม้ประชากรจะฉีดวัคซีนแล้วร้อยละ 80%

ข้อมูลจากอังกฤษพบ “โอมิครอน”ประมาณ 50% จากผู้ติดเชื้อรายใหม่

ข้อมูลจากอเมริกา “โอมิครอน” เริ่มระบาด ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังเป็น “เดลตา”  (ภาพ 3) 

สรุปได้ว่า “โอมิครอน”  น่าจะระบาดเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดิม โดยในแต่ละประเทศจะใช้เวลาการเข้ามาแทนที่ช้าเร็วแตกต่างกัน 

3. เราควรปิดประเทศหรือไม่ เพื่อเลี่ยงการระบาดของ “โอมิครอน”

การปิดประเทศเป็นเพียงทำให้การระบาดของ “โอมิครอน” ช้าลง เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมพร้อม เช่น เร่งฉีดวัคซีน เตรียม ยา เตรียม รพ. เตรียมเครื่องช่วยหายใจให้พร้อม ฯลฯ อย่างไรก็ดีต้องชั่งน้ำหนักให้ดีหากจะปิดควรปิดในพื้นที่เล็ก และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะการปิดทั้งจังหวัดหรือทั้งประเทศเนื่องจากความ “ตระหนก” จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อ เศรษฐกิจ การศึกษา (ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต) และ สุขภาพจิต (อาจนำมาสู่การประท้วงใหญ่ นำไปสู่การไม่ให้ความร่วมมือของประชาชนในการควบคุมโรค เช่น การใส่หน้ากากอนามัย การฉีดวัคซีน ดังที่เกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรบและอเมริกา) 

4. มีโอกาสรับเชื้อ “โอมิครอน” จากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันหรือไม่

ข้อมูลจากไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อยู่ในช่วงขาลงด้วยกันทั้งสิ้น มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงมาก พบการติดเชื้อ “โอมิครอน” ประปราย ดังนั้นมีโอกาสพอๆกันที่ไทยจะแพร่สายพันธุ์ “โอมิครอน”ให้กับเพื่อนบ้านพอๆกับที่เพื่อนบ้านจะแพร่ให้กับไทยบริเวณชายแดน (ดูภาพ 4)

5. จะเกิดสายพันธุ์ลูกผสมระหว่าง “โอมิครอน” และ เดลตา” หรือไม่ และหากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลอย่างไร 

สายพันธุ์ลูกผสมเกิดขึ้นแล้วระหว่าง “โอมิครอน” กับ “ไวรัสโคโรนา” ที่ก่อให้เกิดไข้หวัด (common cold)  มีโอกาสสูงที่จะเกิดลูกผสมระหว่าง “โอมิครอน” และ “เดลตา”  แต่คาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอาการรุนแรงขึ้นกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมหรือไม่ (ภาพ 5)

6. ท้ายที่สุด “โอมิครอน” จะกลายเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคประจำถิ่น (Endemic) หรือไม่

ตอนนี้เริ่มเห็นแสงสว่างรำไรปลายอุโมงค์  ผู้ติดเชื้อ “โอมิครอน” มีอาการไม่รุนแรง ไม่ต้องเข้า รพ.  เป็นส่วนใหญ่  ตัวไวรัสเองทำหน้าเสมือนวัคซีน “เชื้อเป็น”  สร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนา 2019 ไปทั่วโลก ผนวกกับภูมิคุ้มกันที่ประชากรโลกได้รับจากการฉีดวัคซีนน่าจะทำให้ไวรัสโคโรนา 2019 กลายสภาพเป็นโรคประจำถิ่นได้ กล่าวคือมีการติดต่อในวงแคบ อาการไม่รุนแรง และอาจมีการแพร่ระบาดตามฤดูกาล คล้ายไข้หวัดในที่สุด

7. ทำไมการติดเชื้อ “โอมิครอน” จึงมีอาการไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม 

มีความเป็นไปได้สองแนวทางซึ่งต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลทางคลินิกมายืนยัน 

แนวทางที่หนึ่ง “โอมิครอน” มิได้มีอาการมารุนแรง ลดลง แต่เป็นเพราะมนุษย์มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและการฉีดวัคซีน

แนวทางที่สอง รายงานจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง  พบว่า  “โอมิครอน” เพิ่มจำนวนในหลอดลม (bronchus) ได้รวดเร็วกว่าเดลตาถึง “70 เท่า”  แต่ไม่ติดเชื้อลงลึกเข้าไปในเนื้อปอด ไม่แพร่ไปที่ถุงลมอันก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบ ซึ่งน่าจะปัจจัยที่ทำให้  “โอมิครอน” แพร่ระบาดได้รวดเร็ว กว่าทุกสายพันธุ์ แต่มีอาการไม่รุนแรง

https://researchnews.cc/.../HKUMed-finds-Omicron-SARS-CoV...  (ภาพ 6)

8. วัคซีนที่เราฉีดเข้าไปจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ การเจ็บป่วย  การเสียชีวิต ได้มากน้อยแค่ไหน

ต้องรอดูจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกับเราว่าเป็นอย่างไร  เพราะมีการฉีดวัคซีน เชื้อตาย ตามด้วยวัคซีนไวรัสเป็นพาหะ และฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีน mRNA เช่นเดียวกับปะเทศไทย โดยข้อมูลล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับประเทศไทย (ภาพ 4) 

9. ทำไมต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 3 และควรห่างจากเข็มที่สองกี่เดือน

เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจตามธรรมชาติเองก็อยู่ไม่นาน ภูมิจะตกลงไปใน 3 เดือน 6 เดือนอันเป็นเรื่องปรกติ เราจึงควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใน 3-6 เดือนหลังเข็มที่ 2 และอาจพิจารณาฉีดเข็มที่ 4 ใน  6-12 เดือนหลังจากเข็ม 3  (ภาพที่ 7-8)  การฉีดวัคซีนกระชั้นไปจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ควรรอให้ภูมิเริ่มตกสักหน่อยถึงฉีดกระตุ้นจะได้ประสิทธิภาพสูงกว่า การฉีดวัคซีนประเภทเดียวกันซ้ำๆ และถี่เกินไปจะทำให้เม็ดเลือดขาวในร่างกายเราทั้งประเภท B และ T cells จดจำแต่เฉพาะวัคซีนที่ฉีดเข้าไป หากในอนาคตเกิดมีความจำเป็นต้องใช้วัคซีนชนิดใหม่ B และ T cells อาจไม่เหลือ memory cells เพียงพอที่จะให้จดจับ

10. เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของ “โอมิครอน”

I. สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม อยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเท  อายน้ำ สระผมทุกวัน

II. ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ใน 3 เดือน และเตรียมพร้อมรับการฉีดเข็ม 4 ใน 6 เดือนหากจำเป็น

III. เตรียมยาต้านไวรัส ทั้งสมุนไพรไทย และ ยาต่างประเทศ ให้พร้อมใช้ในทันทีที่ติดเชื้อ

IV. ภาครัฐบริหารจัดการเรื่องการตรวจกรองด้วย “PCR” ส่วนภาคประชาชนให้ความร่วมมือด้วยการตรวจ “ATK” แล้วรายงานให้เจ้าหน้าที่สาธารสุข ได้ทราบ 

V. ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ตรวจจีโนไทย์ 37 ตำแหน่ง เพื่อบ่งชี้ 7 สายพันธุ์พร้อมกัน (โอมิครอน, เดลตา, อัลฟา, บีตา, แกมมา, B.1.36.16, และ  B.1.524 ภายใน 48 ชั่วโมง สามารถตรวจได้ 500-1,000 ตัวอย่างต่อ สัปดาห์  (ภาพ 9)

VI. ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี  สนับสนุนกระทรวงสาธารสุข ในการถอดรหัสพันธุกรรม โดยสามารถช่วยถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมจำนวน 50-100 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ และหากมีความจำเป็นสามารถปรับเป็น 1,000 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ได้ในทันที เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมโรค และติดตามการกลายพันธุ์ว่าส่งผลต่อ ชุดตรวจ   วัคซีน และ ยา หรือไม่ (ภาพ 10)

VII. ให้ความร่วมมือกับทั่วโลกด้วยการแชร์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมบนฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID”

VIII. สนับสนุนกรมควบคุมโรค และบุคลากรทางการแพทย์หน้างาน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (village health volunteers, VHV) หรือ อสม. เข้าควบคุมตัดตอนการระบาดอย่างรวดเร็ว

11.  ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ตรวจพบสายพันธุ์ "โอมิครอน" จากผุู้ติดเชื้อกี่รายแล้ว คำตอบคือสองราย รายแรกเป็นตัวอย่างที่ส่งมาจากทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ฯ เพื่อให้ช่วยยืนยัน รายที่สองเป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ  โดยเมื่อตรวจพบแล้วจะแจ้งต่อ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.)  และทีมสอบสวนกลาง กรมควบคุมโรค เพื่อดำเนินการเข้าควบคุมโรค"






ภาพจาก รอยเตอร์/AFP

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง