รีเซต

เปิดคำสั่งฉบับเต็ม ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

เปิดคำสั่งฉบับเต็ม ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” 1 ปี คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
TNN ช่อง16
9 กันยายน 2568 ( 12:15 )
18

วันนี้ (9 กันยายน 2568) เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำสั่งคดี หมายเลขดำที่ บค 1/2568 กรณีศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษ พ.ต.ท.หรือ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 และคดีหมายเลขแดง ที่ อม 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ โดยให้โจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริง 

โจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบ ศาลไต่สวนพยานรวม 31 ปาก 

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลย หรือไม่ เห็นว่า การไต่สวน เพื่อตรวจสอบว่า ได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่

มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 

แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมาย ว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษา ตัวนอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือกรมราชทัณฑ์ ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล

ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่า อาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำ ต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 89 หรือไม่ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาล ที่ให้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่

เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัยยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฉบับ ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้อง ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือไม่

ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวน ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้ง 2 ฉบับ

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ในวันที่ 22 ส.ค.2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค 

อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรค ที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับจึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค.2566 เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 % อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ 

หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง 200 เมตร ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน

ดังนี้ กล่าว คือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำจึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้

การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 นอกจากนี้ การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉินเนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ.2557 ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ 5.3 ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ 

แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจรักษา และกำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ 6.2 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น

ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประสิทธิ์ และศาสตราจารย์นายแพทย์ ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.2 แผ่นที่ 14 และที่ 15 พบว่าในวันที่ 23 ส.ค.2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 ส.ค.2566 หรือหลังจาก 14 ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น

และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

นอกจากนี้ ยังได้ความจากนายแพทย์วัฒน์ชัยและนายแพทย์พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พันตำรวจเอกนายแพทย์ชนะก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้น จริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป 

สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 วันที่ 18 ตุลาคม 2566 และวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะ กระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ 

ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อมแพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจแต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด

จนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาลตำรวจข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง

นอกจากนั้น ยังได้ความว่าจำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไป อีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่ 

เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลย จึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง