รีเซต

นักการเมืองรวย ชาวบ้านยากจน รากความเหลื่อมล้ำ ประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ "อินโดนีเซีย"

นักการเมืองรวย ชาวบ้านยากจน รากความเหลื่อมล้ำ ประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ "อินโดนีเซีย"
TNN ช่อง16
9 กันยายน 2568 ( 09:02 )
9

"ประท้วงอินโดนีเซีย" รากปัญหาเหลื่อมล้ำ : ชาวบ้านยากจน นักการเมืองร่ำรวย 


"อินโดนีเซีย" กับวิกฤตการเมืองในประเทศ ที่กำลังสะเทือนไปถึงเศรษฐกิจ แม้จะเป็นประเทศเขตเศรษฐกิจอันดับ 1 ของอาเซียน และประชากรมากที่สุดกว่า 270 ล้านคน แต่วันนี้เกิดความเสี่ยงครั้งใหญ่ เมื่อการประท้วงของรุนแรงครั้งประวัติศาสตร์  ประชาชนลุกฮือนับแสนคน  มีรายงานการเผาอาคารสภา และบุกทำลายปล้นบ้านนักการเมือง พร้อมกับความพยายามควบคุมสถานการณ์จากตำรวจด้วยแก๊สน้ำตา และมีรายงานผู้เสียชีวิต 


สถานการณ์นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ต้นเหตุมาจากความไม่พอใจนโยบายการใช้เงินของรัฐบาล หลังจากมีการเปิดเผยว่าทางการได้ออกนโยบายสวัสดิการค่าที่อยู่อาศัยให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เดือนละ 50 ล้านรูเปียห์  (หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,000บาท ) 


ตัวเลขดังกล่าวอาจดูเล็กน้อยหากเปรียบเทียบกับรายได้ของนักการเมืองในโลกตะวันตก แต่สำหรับประเทศอินโดนีเซียไม่เป็นเช่นนั้น เพราะค่าแรงขั้นต่ำในจาการ์ตาอยู่แค่ 3-4 ล้านรูเปียห์ต่อเดือน  โดยเฉพาะแรงงานในพื้นที่ชนบทหรือจังหวัดที่ยากจน บางพื้นที่ค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ถึง 2 ล้านรูเปียห์ด้วยซ้ำไป จึงเป็นความแตกต่างที่เหลื่อมล้ำชัดเจน ระหว่างนักการเมืองกับชาวบ้าน และจุดชนวนความโกรธแค้นขึ้นมา 


การประท้วงเริ่มต้นจากเพียงนักศึกษาและแรงงานกลุ่มเล็ก ๆ และค่อยๆเติบโตกลายเป็นการลุกฮือที่มีแม่บ้าน คนขับแท็กซี่ คนงานก่อสร้าง ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย และขยายวงกว้างไปยังเมืองหลักทางเศรษฐกิจ อาทิ จาการ์ตา สุราบายา บันดุง บาหลี สุลาเวสี 


และจากการประท้วงดังกล่าว ได้ทำให้ตลาดหุ้นจาการ์ตาปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบสองปี หุ้นกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ร่วงหนัก เนื่องจากนักลงทุนหวั่นเกรงว่าวิกฤติการเมืองจะฉุดรั้งแผนการลงทุนระยะยาว ดัชนีคอมโพสิต (Jakarta Composite Index) ที่เคยทะยานแตะระดับสูงสุดในประวัติการณ์เมื่อต้นปี กลับร่วงลงกว่า 12% ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงต่อเนื่องจนธนาคารกลางต้องออกมาตรการแทรกแซง ทั้งการขายเงินดอลลาร์สำรองและการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแบบฉุกเฉิน 0.5% เพื่อพยุงความเชื่อมั่น 


ในขณะที่ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติเริ่มแสดงความกังวลต่อสัญญาณความไม่แน่นอน บริษัทข้ามชาติที่ใช้จาการ์ตาเป็นฐานการลงทุนเพื่อกระจายสินค้าไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มชะลอการตัดสินใจขยายโรงงานใหม่ ขณะที่บริษัทที่ลงทุนไปแล้วก็ต้องเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยมากขึ้น หลายโรงงานในชวาตะวันตกต้องหยุดสายการผลิตชั่วคราวเนื่องจากพนักงานจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่สามารถเดินทางได้เพราะถนนถูกปิด สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนชัดว่าการประท้วงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการเมือง แต่เริ่มส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจจริง


ขณะที่ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ต้องออกแถลงการณ์เมื่อ 31 สิงหาคม 2568 ประกาศยกเลิกสวัสดิการดังกล่าว ออกคำสั่งระงับการเดินทางไปต่างประเทศของ ส.ส. รวมถึงลดสิทธิประโยชน์บางประการ แต่ดูเหมือนว่าไฟแค้นในหมู่ประชาชนยังไม่สามารถสงบลงได้ในทันที 

ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจอินโดนีเซีย โตสูงสุดในรอบ 2  ปี แต่หลังจากนี้ต้องจับตาว่าจะเป็นเช่นไร 


อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน  เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะสามารถเติบโตได้ถึง 5%ต่อปี ถือเป็นอัตราที่แข็งแกร่งท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน  


ขณะที่รัฐบาลอินโดนีเซียก็ออกมาย้ำว่าแม้จะเจอความเสี่ยง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจยังคงแข็งแรง  โดยในไตรมาสที่ผ่านมา  เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ที่ 5.12% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับการเติบโตสูงสุดในรอบสองปี 


แต่พอเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ ก็กระแทกไปถึงเศรษฐกิจ  ผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว เริ่มจากภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่งฟื้นตัวจากโควิด-19 ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง โรงแรมและร้านอาหารในบาหลี ย็อกยาการ์ตา และจาการ์ตา รายงานยอดจองที่หดตัวลงกว่า 40% ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ สายการบินต่างประเทศบางแห่งประกาศลดเที่ยวบินมายังอินโดนีเซียชั่วคราว ขณะที่บริษัทประกันการเดินทางต่างชาติปรับเบี้ยขึ้นสำหรับผู้ที่จะเดินทางมายังประเทศนี้ 


ภาคการผลิตก็เช่นกัน โรงงานหลายแห่งในเกาะชวาต้องลดกำลังการผลิตลงเหลือไม่ถึง 60% ของศักยภาพ เนื่องจากแรงงานจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุม หรือเผชิญกับปัญหาการขนส่งวัตถุดิบที่ติดขัด การประท้วงที่ยืดเยื้อทำให้ท่าเรือบางแห่งเกิดการจราจรติดขัดอย่างหนัก ตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากไม่สามารถลำเลียงต่อไปยังโรงงานได้ทันเวลา ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด 


ในระดับมหภาค ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มสะท้อนความเสียหาย ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีปีนี้  (2025) จาก 5% เหลือเพียง 4.2% และเตือนว่าหากการประท้วงยังคงยืดเยื้อ ตัวเลขอาจลดลงต่ำกว่า 4% ได้


ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อก็พุ่งทะลุ 7% สูงที่สุดในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษ สาเหตุหลักคือค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่ารวดเร็วและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากความวุ่นวายในประเทศ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินประท้วงอินโดฯกระทบพื้นที่เศรษฐกิจ เสี่ยงกดจีดีพี


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การประท้วงในอินโดนีเซียทำให้เกิดความเสี่ยงเศษฐกิจเพิ่มขึ้น กระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยวโดยตรง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมส่วนใหญ่ล้วนเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะจาการ์ตาและบาหลี ซึ่งในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวรวมกันกว่า 8.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% ของนักท่องเที่ยวทั้งประเทศ การประท้วงในพื้นที่กระทบกิจรรมทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสคัญ ทั้งยังสร้างความกังวลในหมู่นักลงทุนผ่านความผันผวนของตลาดหุ้นและค่าเงิน 


ปัญหาสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความไม่พอใจของประชาชนคือ ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างรายได้ที่เริ่มเห็นชัด โดยรายได้พื้นฐานของ ส.ส.อยู่ที่ 4.2-5.04 ล้านรูเปียห์/เดือน  แต่เมื่อรวมสวัสดิการและค่าเบี้ยเลี้ยงอื่นๆ อาจสูงถึง 100-230 ล้านรูเปียห์ ซึ่งสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยทั้งประเทศอย่างมาก 


เศรษฐกิจภายในประเทศยังเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง โดยการบริโภคมีสัดส่วนถึง 53% ของ GDP แต่เติบโตเพียง 4.97% เมื่อเทียบปีต่อปี ในไตรมาสสองที่ผ่านมาของปีนี้ ( 2/2025) ต่ำกว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังปรับตัวต่ำตลอดช่วงครึ่งปีแรก ยิ่งตอกย้ำการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ชั้นกลางซึ่งเป็นกำลังหลักในขับเคลื่อนการบริโภคลดลงจาก 57.3 ล้านคนในปี 2019 เหลือเพียง 47.9 ล้านคนในปี 2024 และถูกแทนที่ด้วยกลุ่มประชาชนที่มีระดับรายได้น้อยมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 233.7 ล้านคน  


ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่ามากขึ้น ตั้งแต่วันเริ่มต้นการประท้วงค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าจาก 16,340 รูเปียห์/ดอลลาร์ฯ (25 สิงหาคม 2568 ) มาอยู่ที่ 16,461 รูเปียห์/ดอลลาร์ฯ ในวันที่ 1 กันยายน 2568 (อ่อนค่าลง 0.74%) และบางช่วงเวลามีการเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตปี 1998 สะท้อนความวิตกของตลาดการเงิน ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงิน


ทั้งนี้่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า หากการชุมนุมประท้วงยาวนานเกิน 1 เดือน โดยที่ภาครัฐไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และเรียกคืนความเชื่อมั่นได้โดยเร็ว เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 4.8% ซึ่งจะยิ่งกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและทำให้การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในระยะยาวเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น


การประท้วงในอินโดนีเซียกลายเป็นบททดสอบสำคัญของรัฐบาลในวันนี้ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาเซียน ต้องเจอกับแรงกระแทกครั้งใหญ่แบบไม่คาดคิด เรียกได้ว่ามาซ้ำเติมกับความผันผวนของการค้าโลก จากภาษีทรัมป์ เป็นวิกฤตที่ท้าทายและต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นตัว  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง