EXIM BANK ระบุ ไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการที่สหรัฐกีดกันสินค้าจากจีน
ฝ่ายวิจัยของ EXIM BANK ระบุ ไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากการที่สหรัฐ กีดกันสินค้าจีน เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยไม่เป็นฐานการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำ
#ทันหุ้น ฝ่ายวิจัยของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย( EXIM BANK)ได้ออกบทวิเคราะห์ผลกระทบหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งว่า สงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐกับจีน ไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐเพื่อทดแทนสินค้าจากจีน เนื่องจากมาตรการภาษีเพื่อตอบโต้การค้าของสหรัฐต่อสินค้าจีน ในรอบใหม่ตามนโยบายของทรัมป์นั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มConsumer Goods เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไทยไม่ได้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าประเทศอื่น อาทิ เวียดนาม และเม็กซิโก
นอกจากนี้ นโยบายของทรัมป์ยังอาจทำให้สถานการณ์สินค้าจีนทะลักเข้าไทยรุนแรงขึ้น จากการระบายสินค้าส่วนเกินของจีน โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer Goods ไปยังประเทศอื่น
ด้านการลงทุนนั้น กระแสการย้ายไปลงทุนในประเทศที่วางตัวเป็นกลาง (Conflict-free Countries) ยังดำเนินต่อไป แต่อยู่ภายใต้ภาวะกดดันเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ภายใต้การบริหารงานของทรัมป์มักดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ากับประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ประเทศที่จีนย้ายฐานลงทุนไปผลิตสินค้าเพื่อเลี่ยงสงครามการค้าเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
ด้านนโยบายสีเขียวนั้น กลไกการลดคาร์บอนโลกอาจสะดุด และส่งผลต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยทางอ้อม เนื่องจากการที่สหรัฐฯ อาจชะลอกฎหมาย Clean Competition Act ลดแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกไทยในการปรับตัวเพื่อลดคาร์บอน ซึ่งอาจมองเป็นมุมบวกของภาคธุรกิจได้ในระยะสั้นเนื่องจากไม่ต้องเร่งลงทุนเพื่อปรับตัว แต่ก็จะส่งผลเสียต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยในระยะถัดไป
สำหรับความขัดแย้งในตะวันออกกลางนั้นสถานการณ์อาจยกระดับความรุนแรงได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอิสราเอลจะกล้าดำเนินมาตรการทางทหารเชิงรุกมากขึ้นหลังรู้ว่าจะมีสหรัฐฯ คอยหนุนหลังอย่างเต็มที่ซึ่งอาจขยายวงความวุ่นวายในตะวันออกกลาง และจะส่งผลให้ราคาพลังงานและต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับขึ้นรุนแรง
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาท มองว่า จะผันผวนในทิศทางอ่อนค่า โดยในระยะสั้น เงินทุนมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสหรัฐฯ เพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นหลังรับรู้ผลการเลือกตั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทผันผวนในทิศทางอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไป การชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2568 และปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทย เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาจทำให้ค่าเงินบาทกลับมาผันผวนในทิศทางแข็งค่าได้
ทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับทิศทางการค้า การลงทุน และการเมืองโลก ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน โดยเน้นการรักษาความเป็นกลางเพื่อให้ไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับทั้งสองประเทศได้อย่างเหมาะสม ขณะที่ภาคธุรกิจอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญ ดังนี้
1.รุกเข้าตลาดหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนในประเทศที่เป็น Conflict-free Country ซึ่งได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม ทั้งในแง่ของการค้าระหว่างประเทศ และการขยายการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าว
2.ลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Foreign Exchange Forward Contract เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน แม้ว่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าอาจทำให้ผู้ส่งออกบางส่วนเล็งเห็นถึงประโยชน์จากส่วนต่างค่าเงินดังกล่าว แต่การส่งออกที่เน้นการเก็งกำไรค่าเงินถือว่าเสี่ยงเกินไปในภาวะที่โลกต้องเผชิญความผันผวนสูงในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังควรพิจารณาการทำประกันการส่งออก (Export Credit Insurance) และประกันความเสี่ยงการลงทุน (Investment Insurance) เพื่อลดเหตุความไม่แน่นอนในประเทศคู่ค้าซึ่งอาจมีมากขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงภายใต้การดำเนินงานของทรัมป์
3.รักษาแนวทางการดำเนินงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการที่สหรัฐฯ อาจถอนตัวออกจากกลไกการลดโลกร้อน ยิ่งทำให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย ต้องพยายามมากขึ้นในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือการดำเนินงานที่ลดคาร์บอนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลกยุคใหม่ได้มั่นคงยิ่งขึ้น
”ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ พร้อมด้วยพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2568 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ในระหว่างนี้การติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายต่าง ๆ ที่จะทยอยมีความชัดเจนมากขึ้นในระยะข้างหน้า“