อานิสงส์นโยบาย "ไบเดน" ดันหุ้นไทยสู่โหมดกระทิง
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล. เอเชียพลัส เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจไทยและโลกยังเผชิญกับโควิดที่แพร่ระบาดรอบใหม่ แต่เชื่อว่าเงินทุนยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทย เนื่องจากทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่อยู่ในระดับสูงดุลการค้าเกินดุล และนโยบายของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เช่น มีแผนเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 21% เป็น 28% จะส่่งผลกระทบต่อกำไรบจ.ในตลาดสหรัฐฯลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เงินไหลออกจากสหรัฐฯ ไปยังเอเชีย รวมถึงไทย ประกอบกับสภาพคล่องที่ล้นระบบทำให้นักลงทุนโยกเงินลงทุนหาผลตอบแทนสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทำให้หุ้นไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง (Bull Market) เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
สำหรับตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าปัจจัยที่ต้องติดตามมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดโควิดรอบใหม่แม้ว่าจะมีการพัฒนาเรื่องวัคซีน แต่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งในต่างประเทศนั้น เกาะติดการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของจีนในวันที่ 11ม.ค.นี้ ตัวเลขส่งออก-นำเข้า 14 ม.ค.นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าส่งอกจีนโต 15% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นำเข้าโต 5% รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในวันที่ 13 ม.ค. คาดว่าจะอยู่ที่ 1.3% และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
การพัฒนาวัคซีนของนานาชาติ ซึ่งหลังจากที่ “ไฟเซอร์ อิงค์” (Pfizer Inc.) ยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19ที่ทางบริษัทได้ร่วมผลิตกับ “ไบโอเอนเทค เอสอี” (BioNTech SE) มีประสิทธิภาพต่อการป้องกันการกลายพันธ์ุของเชื้อที่ถูกเรียกว่า “N501Y” หรือโรคโควิด-19 “สายพันธุ์ใหม่” ซึ่งถูกค้นพบที่อังกฤษและแอฟริกาใต้ว่าเป็นจริงหรือไม่และต้องรอดูการพัฒนาวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน บริษัทเวชภัณฑ์ของสหรัฐฯหากประสบผลสำเร็จจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโลกและหุ้นไทย
นอกจากนี้ในวันที่ 13 ม.ค.นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเตรียมจะฉีดวัคซีนจากบริษัทซิโนวัค ไบโอเทคป้องกันโควิด และไทยเริ่มผลิตวัคซีนต้านโควิด 19 ในประเทศโดยเป็นวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสตราเซนเนก้า กำลังการผลิตได้ปีละ 200 ล้านโด๊ส จะทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพ.ค.64 และสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทประเทศจีน เพื่อส่งมอบในเดือนก.พ.-เม.ย. 2 ล้านโด๊ส และรัฐกำลังเจรจาจัดหาวัคซีนเพิ่มให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่า 50%
ส่วนในประเทศจับตาการปรับลดจีดีพีจากหลายหน่วยงานเพิ่มเติม หลังจากโควิดแพร่ระบาดกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจเพิ่ม จากที่ก่อนหน้านี้เวิลด์แบงก์ปรับลดจีดีพีโลกโตเพียง 4% การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือกกร. ปรับลดจีดีพีเหลือเพียง 3.5%จากเดิมโต 4% และหอการค้าไทยปรับลดจีดีพีปี 64 หดเหลือ 2.2% จากเดิมโต 2.8% รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มมากน้อยแค่ไหน จากปัจจุบันมี 57 จังหวัดถ้าเพิ่มขึ้นมีผลต่อเศรษฐกิจ
ขณะเเดียวกันคลังเสนอที่ประชุมครม.ในวันที่ 12 ม.ค.นี้ ขอให้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจคลอดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดไวรัสโควิดรอบใหม่ในพื้นที่เสี่ยง 28 จังหวัด รวมถึงใน 5 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ด้วยการ การพักหนี้ ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายและกระตุ้นการบริโภคในประเทศด้วยเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น PTT เนื่องจากวัคซีนเริ่มมีการฉีดมากขึ้นหากได้ผลก็สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และได้รับผลดีจากการเข้าระดมทุนของบริษัทลูก ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก หรือ PTTOR คาดว่าราคาเป้าหมายอยู่ที่ 45 บาท
ถัดมาเป็นหุ้น BDMS จากกระแสวัคซีน ทำให้โรงพยาบาลให้บริการเรื่องฉีดวัคซีนเพิ่มเป็นผลบวกต่อรายได้ราคาเป้าหมาย 24 บาทและ TASCO คาดว่างบไตรมาส 4/63จะออกมาดีจากราคายางมะตอยที่ปรับตัวขึ้น ราคาเป้าหมาย 21 บาท ประเมินกรอบแนวรับสัปดาห์หน้าที่ 1,500 จุด แนวต้านที่ 1,550 จุด
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.comfacebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE