รีเซต

อัพเดตน้ำมันดิบรั่วไหล...ลุ้นกรรมการสอบข้อเท็จจริง!!

อัพเดตน้ำมันดิบรั่วไหล...ลุ้นกรรมการสอบข้อเท็จจริง!!
มติชน
29 มกราคม 2565 ( 15:57 )
65

จากกรณีข่าวน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล ของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ซึ่งตั้งอยู่ในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง มีการรายงานน้ำมันดิบรั่วไหลจำนวน 4 แสนลิตร สร้างความตกใจให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างมาก

โดยเหตุการณ์เริ่มจากเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 22.10 น. สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด (สทร.) ได้รับแจ้งเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่น SPM ระยะทางห่างจากแนวชายฝั่งบริเวณพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 10.5 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 16.898 กม.

คาดการณ์ว่าเวลาที่เกิดเหตุคือประมาณ 21.00 น. บริษัทเห็นว่ามีน้ำมันรั่ว ซึ่งน่าจะมีการรั่วไหลจากบริเวณท่อที่ใช้ในการโหลดจากเรือ โดยเป็นการประเมินเบื้องต้นในช่วงของการเกิดเหตุการณ์กลางดึกของวันเกิดเหตุ จากนั้นบริษัทจึงได้ทำเรื่องขออนุมัติจากกรมควบคุมมลพิษเพื่อฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน Dispersant จำนวน 4 หมื่นลิตร เพื่อทำให้น้ำมันแตกตัว

ต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืนเจ้าหน้าที่ทางเรือสามารถหยุดการรั่วไหลของน้ำมันได้ ซึ่งบริษัทได้ประเมินปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน โดยประเมินในแบบที่เสียหายมากที่สุด หรือ worst case จากการกระจายตัวของน้ำมันว่า มีน้ำมันรั่วไหลจากท่อที่ใช้ในการโหลดจากเรือประมาณ 4 แสนลิตร

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เกิดผลกระทบในวงกว้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปในพื้นที่ เพื่อประเมินผลกระทบและความเสียหาย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่ คือ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดย นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ กนอ.ได้ลงพื้นที่ร่วมกับ นายชาญชนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ผู้บริหารจากกองทัพเรือภาคที่ 1 ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล จ.ระยอง (ศร.ชล.จว.รย.) ศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ระยอง กรมเจ้าท่า อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) จ.ระยอง และบริษัท SPRC เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทันที

โดยได้รับรายงานการตรวจสอบและประเมินครั้งที่ 2 ว่า คาดว่าน้ำมันดิบรั่วไหลจากบริเวณท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านบน เมื่อคำนวณแล้วคาดว่าปริมาณน้ำมันรั่วที่แท้จริงประมาณ 1.6 แสนลิตร หรือคิดเป็น 128 ตัน คิดเป็น 0.04% ของน้ำมันในเรือ ซึ่งมีความจุประมาณ 3.2 แสนตัน

ภายหลังตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลไม่ได้เป็นไปตามที่ประเมินในกรณี worst case จึงได้มีการรายงานต่อผู้บังคับบัญชา ต่อมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมเพื่อรับทราบสถานการณ์ พร้อมทั้งหารือแนวทางแก้ไขและมาตรการป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ โดยมีผู้แทนจากบริษัท SPRC เข้าร่วมชี้แจงด้วย

จากนั้น บริษัท SPRC ได้ส่งนักประดาน้ำเพื่อสำรวจหาจุดเกิดเหตุที่แท้จริง พบว่าเกิดการรั่วไหลบริเวณท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านล่าง (Submarine Hose) ทำให้สามารถคำนวณปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลจากท่ออ่อนดังกล่าว โดยใช้หลักการทางวิศวกรรม (Pressure Balance) ว่า มีปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลประมาณ 5 หมื่นลิตร

ทั้งนี้มีข้อมูลยืนยันจาก กนอ. ว่า รายงานของ SPRC ที่ส่งให้หน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับตัวเลขของน้ำมันดิบรั่วไหลที่พบว่าลดลงนั้น ไม่ใช่การปกปิดตัวเลข แต่เป็นการคำนวณปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลจากท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านล่าง (Submarine Hose) ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยใช้หลักการทางวิศวกรรม (Pressure Balance) เข้ามาคำนวณ

ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถหาจุดที่น้ำมันดิบรั่วไหลได้ทันทีนั้น เนื่องจากท่อดังกล่าวมีอายุการใช้งานมาแล้วถึง 26 ปี จึงไม่มีเซ็นเซอร์บอกจุดที่มีการรั่วไหลเหมือนกับท่อรุ่นใหม่

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุ่นและท่อของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) อยู่ในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่าในการกำกับดูแล และอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่แต่ละจังหวัดโดยตรง แต่หน่วยงานต่างๆ รวมพลังบูรณาการกันเพื่อปกป้องทรัพยากรทางทะเลของชาติ โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ที่ถึงแม้ภารกิจหลักคือดูแลโรงงานและโรงกลั่น แต่ไม่ได้มีอำนาจในการดูแลท่อและทุ่นขนถ่ายน้ำมันในทะเล ก็ยังพยายามมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ทั้งประสานหาเรือหาอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อช่วยแก้ปัญหาตามที่ได้เห็นในภาพข่าว

ที่สำคัญ คือ ตัวเลขน้ำมันดิบรั่วไหลที่ถูกนำเสนอในครั้งแรกนั้น สร้างความแตกตื่นให้กับสังคมอย่างมาก หลายหน่วยงานจึงเข้าไปช่วยเหลือบนพื้นฐานที่ว่า เพื่อทำให้สังคมเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ กนอ. ใช้หลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สิ่งใดที่ กนอ.สามารถให้ความช่วยเหลือได้ก็พร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ล่าสุด มีรายงานจากกนอ. เพิ่มเติมว่า นายสุริยะ อยู่ระหว่างรายงานต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้พิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อสืบค้นปริมาณการรั่วไหลที่แท้จริง สาเหตุของปัญหา และวิธีการ/มาตรการการแก้ที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืน

โดยคณะทำงานชุดนี้ประกอบด้วย ผู้แทนจากชุมชนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนจังหวัด ผู้แทนกรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น

เป้าหมายของคณะทำงานฯ ก็เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุ ความเหมาะสมของวิธีการและวงรอบในการทำการซ่อมบำรุงระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงออกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้ผลสรุปจะนำไปพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ

เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและหาแนวทางป้องกันในอนาคตต่อไปโดยเร็วที่สุดต่อไป…

ข่าวที่เกี่ยวข้อง