รีเซต

4 ตลาดหุ้นเด่น ที่ต้องมีติดพอร์ตในไตรมาส 4/2025

4 ตลาดหุ้นเด่น ที่ต้องมีติดพอร์ตในไตรมาส 4/2025
TNN ช่อง16
23 กันยายน 2568 ( 12:07 )
13

 ปี 2025 กำลังจะเข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แรงหนุนสำคัญมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐแต่ละประเทศ ที่เข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษี (Tariffs) ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ Valuation ของหลายตลาดเริ่มสูง นักลงทุนจึงจำเป็นต้องเลือกตลาดหุ้นที่ยังมี Catalyst เฉพาะตัว ที่พร้อมจะผลักดันให้ผลตอบแทนเดินหน้าต่อได้ โดยในไตรมาส 4/2025 ตลาดหุ้น 4 แห่งที่นักลงทุนควรมีติดพอร์ต ได้แก่

1. ตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ตลาดที่ยังทำผลตอบแทนติดลบ อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3/25 ตลาดหุ้นไทยกลับพลิกฟื้นขึ้นมามากกว่า 20% จากจุดต่ำสุดและเริ่มเข้าสู่ภาวะ “Bull Market” อีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนตัวผู้ว่า ธปท. และการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ในช่วงปลายปีนี้ ตลาดหุ้นไทยจะยังมีโมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่เน้นไปที่การบริโภคภายในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น มาตรการ “คนละครึ่ง” นอกจากนี้ ธปท. มีแนวโน้มที่จะทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบัน 1.5% สู่ระดับ 0.75% ภายในครึ่งแรกของปี 2026 ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเกิดภาวะ Search for yield โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจในภาวะดอกเบี้ยต่ำ คือหุ้นกลุ่มปันผลสูง (High Dividend) ที่ปัจจุบันยังมี Dividend Yield ที่สูงถึง 6.5% นับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 10 ปี

2. ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง หลังจากที่นายกรัฐมนตรี Shigeru Ishiba ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้พรรค LDP ต้องสรรหาผู้นำคนใหม่ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งแคนดิเดตส่วนใหญ่ต่างมีจุดยืนที่จะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเชิงรุกมากกว่านายกคนเก่า ทั้งการปรับเพิ่มค่าจ้างและการลดภาษีการบริโภค เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ส่วนในด้านของนโยบายการเงิน แม้ว่าญี่ปุ่นกำลังอยู่ในวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ตลาดคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ จะดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจุบัน 0.5% เป็น 1% ภายในปี 2026 เพื่อรักษาเสถียรภาพทั้งด้านเงินเฟ้อและการเติบโตของ GDP ให้เหมาะสม หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกและธนาคาร ที่ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

3. ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นจีนยังคงได้รับแรงหนุนจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เนื่องจากจีนกับสหรัฐฯสามารถบรรลุข้อตกลงทางเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งการที่สหรัฐฯเลื่อนกำหนดการเก็บภาษีนำเข้า 30% กับจีนออกไปจนถึงเดือน พ.ย. นี้ อีกทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนการส่งออก Semiconductors กับแร่ Rare Earth ซึ่งเป็นสินค้าที่สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงไปถึงการเลื่อนแผนปิดแพลตฟอร์ม TIKTOK ที่ทั้งสหรัฐฯกับจีนสามารถตกลงกันได้อย่างลงตัว ทำให้ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างทั้งสองประเทศผ่อนคลายลง

ด้านปัจจัยภายในประเทศ แม้เศรษฐกิจจีนยังอยู่ในภาวะที่เปราะบางและกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืด แต่รัฐบาลจีนเริ่มประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้นโยบาย “Anti-involution” เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่เกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ทำให้ผลกำไรของหุ้นกลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบจากสงครามราคามีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่ม E-commerce ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ 

4. ตลาดหุ้นอินเดีย นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นอินเดีย ทำผลตอบแทน Underperform ตลาดหุ้นโลก ทั้งที่ในช่วงแรกนักลงทุนคาดการณ์ว่าอินเดียจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นว่าอินเดียถูกเพิ่มการเก็บ Tariffs จากสหรัฐฯจาก 26% เป็น 50% จากประเด็นเรื่องการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า อินเดียได้รับผลกระทบที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯเพียง 2% ของ GDP และคาดว่าอินเดียจะหาช่องทางเจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯลงได้ในท้ายที่สุด

ด้วยความได้เปรียบทางด้านประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก ทำให้อินเดียแก้เกมส์ด้วยการหันกลับมาพึ่งพิง Domestic Consumption ซึ่งคิดเป็น 60% ของ GDP ผ่านการใช้ “มาตรการปฏิรูปภาษี” โดยจะมีการลดภาษีสินค้าและบริการ (GST) จากกรอบเดิมที่ 12-18% สู่กรอบใหม่ที่ระดับ 0-5% สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร ยา สบู่ ยาสีฟัน ตลอดจนสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เพื่อคืนกำลังซื้อให้กับประชาชน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดภาษีมีแนวโน้มการเติบโตที่เร่งตัวขึ้น เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค เป็นต้น


ข่าวที่เกี่ยวข้อง