รีเซต

TMTมองราคาเหล็กทรงตัว ลุ้นปริมาณขายปีหน้าโต10%

TMTมองราคาเหล็กทรงตัว ลุ้นปริมาณขายปีหน้าโต10%
ทันหุ้น
6 ธันวาคม 2565 ( 16:42 )
101
TMTมองราคาเหล็กทรงตัว ลุ้นปริมาณขายปีหน้าโต10%

#TMT #ทันหุ้น – TMT มองราคาเหล็กโลกปี 2566 แกว่งตัวระดับ 600ดอลลาร์สหรัฐ จับตารอดูปัจจัยเงินเฟ้อ-อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อาจกดดันการลงทุนในประเทศ ปักธงยอดขายปีหน้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ด้านปี 2565 คงเป้ารายได้โต 5% คงระดับรักษามาร์จิ้น 7-8%

 

นายไพศาล  ธรสารสมบัติ  ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT เปิดเผยว่า คาดการณ์ภาพรวมปี 2566เศรษฐกิจโลกอาจไม่ได้มีการเติบโตมากนัก ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อไป รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ส่งผลการลงทุนต่างๆ อาจเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ทำให้มองว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กจะอยู่ในทรงตัว

 

ปัจจุบันราคาเหล็กโลกอยู่ที่ระดับประมาณ 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน คิดเป็น 23-24บาทต่อกิโลกรัม โดยคาดว่ากรอบราคาเฉลี่ยในช่วงที่เหลือของปี 2565 นี้ ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปี 2566 จะบวกลบไม่เกิน 5% จากราคาดังกล่าว ส่วนราคาจำหน่ายของบริษัทจะสูงกว่าราคาตลาดเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพพิเศษ ดังนั้นราคาปัจจุบันจึงอยู่ที่ระดับราว 25 บาทต่อกิโลกรัม

 

*ปริมาณปีหน้าโต 10%

ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2566จะยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องให้การจับตารอดูต่อไป แต่มองว่าจากการเปิดประเทศของไทยจะทำให้บรรยากาศต่างๆ รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ภาครัฐและภาคเอกชนยังคงมีการลงทุนโครงการต่างๆ ต่อไป โดยบริษัทคาดว่าการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายในปี 2566 จะยังคงเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อน

 

ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการดูแลและช่วยควบคุมต้นทุนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ลดภาระการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้กับลูกค้า บริษัทจัดการ Stock ที่มีให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน โดยแม้ว่าในปี 2566การเติบโตในอุตสาหกรรมจะมีไม่มาก แต่ด้วยส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทที่มีเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าปริมาณจำหน่ายจึงยังมีการขยายตัวได้ดี

 

*ตั้งเป้ารายได้โต 5%

สำหรับในปี 2565บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ประมาณ 5% จากปีก่อน เพื่อให้สอดรับกับทิศทางของเศรษฐกิจที่อ่อนตัว และปริมาณการขายตลอดจนราคาเหล็กที่ลดลงกว่า 15%นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีนี้ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 7-8%

 

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มในไตรมาส 4/2565 คาดว่าจะพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ เป็นผลจาก 1.ราคาเหล็กเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 28.9บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2565 จาก 28.6 บาทต่อกิโลกรัมในเดือนกันยายน 2565 2.ต้นทุน HRC ลดลง  3. GPM เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 ฟื้นตัวเป็น 5%, 8%, 7% ตามลำดับ และ 4.มีกลับรายการสำรอง ที่ตั้งไปก่อนหน้า 20-30 ล้านบาท

 

*โอกาสโตเท่าตัว

ส่วนแนวโน้มปี 2566ประเมินกำไรสุทธิจะเติบโตเป็นเท่าตัว คาดปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4% เป็น 7.45 แสนตัน จากภาคก่อสร้างทั่วไปฟื้นตัวตามเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยว โครงการขนาดใหญ่กลับมาเดินหน้าหลังจากดีเลย์ไปในปี 2565, ด้านราคาขายเฉลี่ยประมาณการไว้ที่ 28.5 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีสมมติฐาน GPM ระดับปกติที่ 7% (จากฐานต่ำ 4.8% ในปี 2565) คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ไว้ที่ 644 ล้านบาท (EPS : 0.74 บาทต่อหุ้น) เติบโต 109%เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน

 

แนะนำ "ถือ" ราคาพื้นฐาน 8.30 บาท สำหรับในแง่โอกาส 1.การขยายกำลังการผลิตโรงท่อและคลังสินค้า และ 2.การขยายโซลาร์รูฟ เฟส 2 เป็น 5.5 MW ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เพิ่มอีก 12-13 ล้านบาทต่อปี คาดแล้วเสร็จปลายปี 2566 (ปัจจุบันเฟสแรกประหยัดได้ 12 ล้านบาทต่อปี) ส่วนปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1.ราคาเหล็กผันผวนเพราะนโยบายของจีนเปลี่ยนแปลงเร็ว  2.ทางการจีนปลดล็อกดาวน์ช้ากว่าคาด และ 3.การแข่งขันตัดราคาในประเทศที่มากเกินคาด

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง