ส่องภารกิจ 'บัวแก้ว' ในวันที่ไร้รัฐมนตรี แบกวิกฤตการทูตท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน
การลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างกะทันหัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายทั้งจากปัญหาภายในและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ได้สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย เพราะในช่วงที่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง ขาดผู้นำที่มีอำนาจตัดสินใจในระดับนโยบาย การทำงานของกระทรวงอาจต้องหยุดชะงักหรือไร้ทิศทาง ซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของรัฐบาลที่จะต้องรีบแก้ไขสถานการณ์นี้โดยด่วน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายด้านการต่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีโลกต่อไป
ปานปรีย์ ลาออก - นายกฯเคารพการตัดสินใจ
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่งถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่ามกลางกระแสข่าวลือถึงความขัดแย้งภายในรัฐบาล
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ณ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณีการลาออกของนายปานปรีย์ว่า เป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนายปานปรีย์เอง โดยระบุว่าทั้งสองต่างรู้จักและเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสิบปี มีความรักใคร่ชอบพอและเคารพซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี แม้จะรู้สึกเสียดายกับการจากไปของนายปานปรีย์ แต่ก็เคารพในการตัดสินใจในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การลาออกอย่างกะทันหันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในครั้งนี้ ได้สร้างความกังวลต่อหลายฝ่ายถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการทำงานของกระทรวงในระยะสั้น เนื่องจากในช่วงที่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง จะขาดผู้มีอำนาจสั่งการและตัดสินใจในระดับนโยบาย ทำให้ภารกิจบางอย่างของกระทรวงอาจต้องถูกชะลอหรือค้างคาไว้ชั่วคราว แม้ว่างานประจำส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่รักษาราชการแทนรัฐมนตรีไปพลางก่อน
ความท้าทายของกระทรวงการต่างประเทศท่ามกลางวิกฤต
ภารกิจสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากการขาดรัฐมนตรี ได้แก่ การกำหนดท่าทีหรือนโยบายใหม่ๆ ในประเด็นสำคัญด้านการต่างประเทศ ที่ต้องการการตัดสินใจในระดับรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี การลงนามความตกลงหรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีนัยสำคัญ ซึ่งต้องผ่านการเห็นชอบจากฝ่ายการเมือง การบริหารงานบุคคลระดับสูง เช่น การแต่งตั้งหรือโยกย้ายเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ การจัดสรรหรือโอนงบประมาณประจำปีบางส่วนของกระทรวง การเสนอแผนงานหรือโครงการใหม่ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ตลอดจนการกำหนดจุดยืนของไทยต่อความขัดแย้งหรือวิกฤตระหว่างประเทศ และการวางมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยคุกคามที่สำคัญ
ในช่วงเวลา ที่ขาดรัฐมนตรี ไทยยังมีประเด็นด้านการต่างประเทศ มากมายที่ต้องจับตาเฝ้าระวัง และเตรียมพร้อมรับมือ หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดช่วงนี้ ซึ่งล้วนต้องอาศัยการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์และการดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบจากกระทรวงการต่างประเทศ
ประเด็นแรกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ สถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งยังคงเผชิญกับปัญหาความไม่สงบ การหลบหนีเข้าเมือง ผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ตลอดจนความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการเตรียมแผนรับมือและให้ความช่วยเหลือภายในประเทศอย่างเป็นระบบ
อีกสถานการณ์ที่กำลังทวีความตึงเครียดและส่งผลกระทบในวงกว้าง ได้แก่ สงครามที่ปะทุขึ้นระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งนอกจากจะคุกคามสันติภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางแล้ว ยังอาจขยายวงกว้างจนกระทบต่อเสถียรภาพของโลก และที่สำคัญคือความปลอดภัยของคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงการต่างประเทศจึงมีหน้าที่กำหนดมาตรการดูแลและให้ความช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งประสานงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรและองค์การสหประชาชาติ เพื่อ สู่สันติภาพโดยเร็ว
ในขณะเดียวกัน ภัยพิบัติธรรมชาติที่ทวีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก ที่ได้คร่าชีวิตและสร้างความเสียหายต่อผู้คนจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนี้ย่อมรวมถึงคนไทยที่อาศัยและทำงานอยู่ในพื้นที่ประสบภัยด้วย กระทรวงการต่างประเทศจึงต้องมีการเตรียมพร้อมแผนอพยพ ช่วยเหลือ และฟื้นฟูอย่างเป็นขั้นตอน ตลอดจนประสานความร่วมมือกับประเทศเจ้าบ้านและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแรงงานไทยในต่างประเทศ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำงานและการดำรงชีวิต ภายใต้กฎหมาย วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากในประเทศ ตั้งแต่ปัญหาการเลือกปฏิบัติ การถูกเอารัดเอาเปรียบ สภาพการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ไปจนถึงอาชญากรรมและการค้ามนุษย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยการประสานงานและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลของประเทศปลายทาง เพื่อหาแนวทางคุ้มครองและรักษาสิทธิประโยชน์ของแรงงานไทยให้ได้มากที่สุด
สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นความท้าทายเชิงนโยบายที่สำคัญสำหรับกระทรวงการต่างประเทศในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยทั้งความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การคาดการณ์ที่แม่นยำ การกำหนดจุดยืนที่ชัดเจน และการดำเนินการที่รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของบริบทโลก
ดังนั้น บทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศในฐานะผู้กำหนดนโยบายและการตัดสินใจในระดับสูง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ ตลอดจนการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนร่วมกับประชาคมโลก
เร่งหารมต.ต่างประเทศ สานต่อนโยบายต่างประเทศ สร้างความมั่นใจให้นานาชาติ
การขาดรัฐมนตรีต่างประเทศในจังหวะนี้ แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินงานตามปกติในทันที แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อไปนานเกินไป ก็อาจกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีระหว่างประเทศได้
ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของรัฐบาล ที่จะต้องเร่งสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านการทูตเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยเร็ว เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีพลวัตสูงและไม่หยุดนิ่ง
ท่ามกลางความท้าทายที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่ทุกคนจับตามองและให้ความเชื่อมั่นคือ ความสามารถและวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี ในการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้นำที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ จะสามารถคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายให้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถสานต่องานของกระทรวงได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีแรงกดดันจากหลายฝ่ายที่มีต่อการทำงานของรัฐบาล แต่ด้วยความมุ่งมั่นและเอกภาพของคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายกฯเศรษฐา เชื่อได้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะสามารถพาประเทศข้ามผ่านทุกวิกฤตไปได้ด้วยดี พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนานาประเทศที่มีต่อศักยภาพและอนาคตของประเทศไทย
เรียบเรียง : ยศไกร รัตนบรรเทิง
ภาพ : Getty Images