รีเซต

ต่างประเทศทำอย่างไร ? เมื่อต้องรับมือกับภัยธรรมชาติ ลดความสูญเสียให้มากที่สุด

ต่างประเทศทำอย่างไร ? เมื่อต้องรับมือกับภัยธรรมชาติ ลดความสูญเสียให้มากที่สุด
TNN ช่อง16
26 พฤศจิกายน 2568 ( 16:37 )

น้ำท่วมบริเวณภาคใต้ของไทยยังคงวิกฤต เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในอาเซียนขณะนี้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมจากภัยธรรมชาตินี้ไม่ต่างกัน พาถอดบทเรียนจากต่างประเทศรับมือภัยพิบัติทั้งก่อนและหลังอย่างไรที่จะทำให้เมื่อเกิดภัยธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ขึ้น จะสามารถลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน “น้อยที่สุด”

-รัฐฟลอริดา, สหรัฐฯ -

รัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติหลากหลายรูปแบบทุกปี ตั้งแต่น้ำท่วมฉับพลัน ไปจนถึงพายุเฮอร์ริเคนและทอร์นาโดนับครั้งไม่ถ้วน แต่การรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างเป็นระบบและการแจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมความพร้อมอาจเป็นสิ่งที่ช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์ได้

“การรู้จักบ้านที่เราอยู่” ว่าอยู่ในพื้นที่ใดและมีความเสี่ยงมากขนาดไหนเมื่อภัยธรรมชาติมาเป็นมาตรการพื้นฐานที่ประชาชนผู้อาศัยในรัฐฟลอริดาควรทราบ ตั้งแต่โซนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในระดับสีแดงเข้มที่มีความจำเป็นต้องอย่างเร่งด่วนที่ต้องอพยพออกก่อนไปจนถึงโซนที่อยู่ห่างออกมาที่อาจต้องอพยพเช่นกันแต่ความเร่งด่วนไม่เท่ากับผู้ที่อาศัยในโซนสีแดงเข้ม ดังนั้นแล้วสิ่งสำคัญในขั้นแรกคือการรู้จักพื้นที่ที่อยู่อาศัยของตนเอง นอกจากนี้หากทราบขีดความสามารถของบ้านในการทนทานต่อกระแสลมแรงและฝนตกหนักด้วยก็จะยิ่งทำให้สามารถประเมินถึงการอพยพหากมีความจำเป็นได้แม่นยำมากขึ้น 

-เวียดนาม-

กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนามเผชิญกับความท้าทายหลายอย่างในการจัดการน้ำเสียและตะกอนสิ่งปฏิกูล ซึ่งการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้กรุงฮานอยเสียระบบจัดการน้ำเสียรวมถึงระบายน้ำของเมืองไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงกลายเป็น “ยุทธศาสตร์ระดับชาติ” ที่กรุงฮานอยได้ตั้งเป้าหมายที่จะปราศจากมลพิษทางน้ำและน้ำท่วมภายในปี 2030 

หนึ่งในนวัตกรรมจากในอดีตแต่กลับส่งผลดีในปัจจุบันคือ ท่อระบายน้ำในฮานอยส่วนใหญ่เป็นแบบร “combined type” ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมน้ำเสียและน้ำฝน ซึ่งระบบนี้สร้างขึ้นตั้งแต่งปี 1905 ถึง 1945 ในช่วงอาณานิคมฝรั่งเศสและครอบคลุมพื้นที่ใจกลางเมืองของกรุงฮานอยและเพราะกรณีของเวียดนามจึงอธิบายได้ว่าระบบระบายน้ำเมืองอย่างยั่งยืน (SUDS) นั้นมีส่วนช่วยลดน้ำท่วมในเมืองได้

นอกจากนี้ เวียดนามมีการใช้แผนพัฒนาพื้นที่ “สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง” เช่นเดียวกับโครงการ Delta Programme ของเนเธอร์แลนด์ เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากความคล้ายคลึงกันระหว่างสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของเนเธอร์แลนด์โดยยังมีเจ้าหน้าที่จากเนเธอร์ยังคอยเป็นผู้ให้คำแนะนำกับเวียดนามในการปรับใช้โครงการ Delta Programme ด้วย 

ขณะที่ Global Center on Adaptation (GCA) หรือ ศูนย์การปรับตัวระดับโลก ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเร่งรัดการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอธิบายว่าด้วยความคล้ายคลึงระหว่างสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงกับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำของเนเธอร์แลนด์ ที่ทั้งสองพื้นที่จุดที่มีประชากรหนาแน่น อุดมสมบูรณ์ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญ และเปราะบางต่ออุทกภัย ทำให้โครงการ Delta Programme สามารถปรับใช้เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ระยะยาวในภูมิภาคจนถึงปี 2100 และมาตรการระยะสั้นถึงปานกลางที่จะครอบคลุมในอีก 30 ปีข้างหน้า รวมถึงอาจมีการออกกฎหมายและจัดสรรแหล่งเงินทุนสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิ่มเติม 

อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีแผนที่จะปรับปรุงแนวคิด “Sponge city” หรือ “เมืองฟองน้ำ” ที่นำมาปรับใช้กับประเทศ ซึ่งแต่เดิมเป็นแนวทางจัดการกับปัญหาน้ำท่วมในเขตเมืองในประเทศจีน โดยในกรณีของเวียดนามได้ลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อปรับตัวเมืองฟองน้ำของพวกเขาให้ทันต่อสถานการณ์โลกยุคใหม่ซึ่งเป็นยุคของสภาพภูมิอากาศแบบ “สุดขั้ว” ด้วยการกำหนดแผนแม่บทระดับชาติซึ่งดำเนินไปจนถึงปี 2030 และรัฐบาลประกาศมอบเงินลงทุนมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าและย้ายชุมชนออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยแนวคิดเหล่านี้เริ่มปรากฏชัดขึ้นพร้อมกับการสร้างระบบระบายน้ำที่ขยายตัวมากขึ้น, อ่างเก็บน้ำสำหรับน้ำท่วมและตลิ่งแม่น้ำที่ถูกปรับให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่สามารถดูดซับน้ำและระบายออกหลังฝนตกหนัก

ขณะเดียวกัน แนวคิด “การอยู่ร่วมกับน้ำ” ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในเวียดนามเช่นเดียวกับในหลายประเทศ อาทิ อินเดีย บังกลาเทศ และ แอฟริกาใต้ ซึ่งแนวคิดที่ได้รับความนิยมมากขึ้นนี้ยังทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสมและไม่สามารถใช้งานได้จริงเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ อาทิ การสร้างที่พักอาศัยบนที่ดินต่ำหรือบนถนนที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบระบายน้ำฝน 

-ญี่ปุ่น-

ญี่ปุ่นหนึ่งในประเทศที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดมีวิธีรับมือกับน้ำท่วมด้วยแนวทางหลายมิติที่ผสมผสานระหว่างโครงการวิศวกรรมใต้ดินขนาดใหญ่ การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม และโครงการสีเขียว โดยกลยุทธ์สำคัญรวมถึงการสร้างระบบควบคุมน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ เช่น ทางระบายน้ำใต้ดินรอบนอกเขตกรุงโตเกียว หรือ MAOUDC ที่มีความยาว 6.3 กิโลเมตรเพื่อเบี่ยงน้ำและกักเก็บน้ำในช่วงฝนตกหนักโดยน้ำจะถูกเบี่ยงเข้าไปยังแท่งและอุโมงค์ใต้ดิน ปั๊มขนาดใหญ่จะสูบน้ำออกไปยังแม่น้ำใกล้เคียง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับเข้าสู่เมือง นอกจากนี้ยังมีการเสริมคันกั้นน้ำและระบบระบายน้ำ รวมถึงยังมีการใช้ “สวนฝน” (Rain gardens) เพื่อซึมน้ำฝน นอกจากนี้ ที่กรุงโตเกียวยังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำใต้ดิน 28 แห่ง ใต้ถนนและพื้นที่อื่น ๆ เพื่อป้องกันน้ำล้นจากแม่น้ำขนาดเล็กสายต่าง ๆ 

ส่วนด้านนโยบายและการวางแผน การควบคุมน้ำท่วมถูกจัดการผ่านระบบของรัฐในหลายระดับตั้งแต่รัฐบาลกลางระดับชาติไปจนถึงรัฐบาลท้องถิ่นที่จะคอยประสานงานกับภาคเอกชนและชุมชน ญี่ปุ่นยังใช้กลยุทธ์ที่เน้นการบูรณาการการจัดการน้ำท่วมเข้ากับการวางผังเมืองโดยสนับสนุนด้วยการทำแผนที่ความเสี่ยงและการแบ่งขอบเขตตามข้อมูล นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังผลักดันให้รัฐบาลท้องถิ่นมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างแข็งขันในการวางแผนและดำเนินมาตรการป้องกันน้ำท่วในชุมชนของพวกเขาเพื่อลดความเสียหายเมื่อภัยมา 

-เกาหลีใต้-

เกาหลีใต้รับมือกับน้ำท่วมด้วยกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การสร้างอุโมงค์ใต้ดินเพื่อเก็บน้ำฝน การเสริมความแข็งแรงของคันกั้นน้ำ ปรับปรุงระบบระบายน้ำ และใช้สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเกาหลี หรือ KMA สำหรับการพยากรณ์และเตือนภัยพิบัติต่าง ๆ ในช่วงเวลาหลังน้ำท่วม “ทันที” โดยการเตือนภัยล่วงหน้าจะรวมถึงการพยากรณ์ระยะสั้น ถึง ระยะกลาง และการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว ที่มีบทบาทสำคัญมากในการช่วยลดความรุนแรงของภัยพิบัติ

ขณะที่องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งในยุทธศาสตร์รับมือน้ำท่วมของเกาหลีใต้ คือการ “เตรียมความพร้อมโดยชุมชน” ซึ่งรัฐบาลจะนำข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศเข้าถึงครัวเรือนของประชาชนโดยตรง และจะมีการจัดตั้งทีมอาสาสมัครชุมชนเพื่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติจากผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งในเขตเมืองและเขตชนบทของเกาหลีใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “ความร่วมมือ” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลดความเสี่ยงและป้องกันภัยพิบัติ แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นที่ ชุมชน สังคม องค์กรสตรี-เยาวชน สถาบันการศึกษาและเทคโนโลยี รวมถึงภาคธุรกิจ ต้องร่วมมือกัน 


-ฟิลิปปินส์-

ฟิลิปปินส์เป็นประเทสที่เผชิญกับภัยธรรมชาติมากเช่นเดียวกัน แต่ฟิลิปปินส์มีกรมโยธาธิการและทางหลวง (DPWH) ของรัฐบาลที่มีหน้าที่จัดหาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์เมื่อเกิดภัยพิบัติ อาทิ การนำกองเรือเครื่องขุดลอกน้ำ หรือ  Watermaster เพื่อช่วยป้องกันน้ำท่วมและรักษาลำน้ำตื้นให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

DPWH ยังมีเป้าหมายเปลี่ยนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมให้เป็นพื้นที่ป้องกันน้ำท่วม โดยเพิ่มความสามารถในการรองรับน้ำของลำน้ำ โดยการขุดลอกตะกอนที่สะสม การกำจัดขยะและพืชพันธุ์ที่ขัดขวางการไหลของน้ำ และการเสริมความแข็งแรงและยกตลิ่งแม่น้ำในจุดที่จำเป็น 

-อินโดนีเซีย-

“กรุงจาการ์ตาเป็นเมืองหลวงที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม” เพราะเป็นจุดที่มีแม่น้ำสายสำคัญ 13 สายไหลผ่านเมืองหลวงมุ่งสู่ทะเลชวา ดังนั้นจะทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดินที่จมตัวอย่างช้า ๆ

อินโดนีเซียจึงรับมือกับน้ำท่วมด้วยการผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การขุดลอกและฟื้นฟูคูคลองและลำน้ำ และการพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้าโดยการนำ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์มาช่วย 

อินโดนีเซียยังมีโครงการที่เรียกว่า Jakarta Urgent Flood Management Project หรือ JUFMP  ที่ช่วยสนับสนุนความพยายามในการฟื้นฟูคันกั้นน้ำและอุปกรณ์เครื่องจักรที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบจัดการน้ำท่วมของจาการ์ตา

อินโดนีเซียยังให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยงภัยพิบัติในระยะยาว ผ่านโครงการปรับปรุงการจัดการที่ดินและป่าไม้ และการออกกฎหมายแผนการจัดการภัยพิบัติที่ครอบคลุมซึ่งเน้นทั้งการป้องกัน การตอบสนอง และความยืดหยุ่น รวมถึงการตั้งศูนย์รับมือภัยพิบัติในทุกจังหวัดทั่วประเทศ


-มาเลเซีย-

มาเลเซียใช้ทั้งแนวทางเพื่อแก้ไขและแนวทางเพื่อป้องกันในการลดผลกระทบน้ำท่วม รวมถึงการนำแนวทางตามธรรมชาติมาใช้ กลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อเพิ่มความพร้อมผ่านการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานควบคุมน้ำท่วมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการขยายการใช้แนวทาง “Make Room for Water” และ “Building with Nature” ซึ่งมีทั้งการนำแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ (IWRM) การจัดการลุ่มน้ำแบบบูรณาการ และการจัดการน้ำท่วมแบบบูรณาการ การเพิ่มความจุในการกักเก็บน้ำ โครงการย้ายชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงภัยพิบัติ 

มาเลเซียยังจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการลดผลกระทบน้ำท่วม 19,000 ล้านริงกิต และค่าใช้จ่ายป้องกันชายฝั่งอีก 5,000 ล้านริงกิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง