รีเซต

กรมควบคุมโรค ยืนยันไทยยังไม่พบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง ย้ำขณะนี้ยังไม่ต้องฉีดวัคซีน

กรมควบคุมโรค ยืนยันไทยยังไม่พบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง ย้ำขณะนี้ยังไม่ต้องฉีดวัคซีน
TNN ช่อง16
6 มิถุนายน 2565 ( 14:44 )
74

วันนี้ (6 มิ.ย.65) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุถึงความคืบหน้าสถานการณ์ "โรคฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง" ว่า โรคดังกล่าวเป็นโรคสัตว์สู่คน (Zoonosis Diseases) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus มักมีรายงานผู้ป่วยในประเทศแถบแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก

 

ทั้งนี้ โรคฝีดาษลิงมี 2 สายพันธุ์

(1) สายพันธุ์ West African clade ซึ่งมีอาการไม่รุนแรง อัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 1

(2) สายพันธุ์ Central African clade ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่า อัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 10

สำหรับสัตว์รังโรค ยังไม่มีความรู้ที่แน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก โดยเฉพาะในสัตว์กัด แทะ และลิง

 

การติดต่อของโรค

- จากสัตว์สู่คน โดยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งหรือแผลของสัตว์ป่วย หรือการกินสัตว์ที่ปรุงไม่สุก

- จากคนสู่คน โดยการสัมผัสใกล้ชิด โดยเฉพาะแผลของผู้ป่วย รวมทั้งเสื้อผ้า และสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ (Droplet respiratory particle) ของผู้ป่วย หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งสมมติฐานว่าโรคฝีดาษลิง อาจสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ

 

การตรวจวินิจฉัย : ลักษณะอาการทางคลินิก และการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR หรือ DNA Sequencing

 

ระยะฟักตัว : (วันที่สัมผัส ถึงวันเริ่มป่วย) 5-21 วัน

 

อาการ : โดยปกติโรคนี้จะแสดงอาการป่วยไม่รุนแรง ถึงรุนแรงปานกลาง แบ่งเป็น 2 ช่วง

 

- ช่วงอาการนำ (วันที่ 0-5) ไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อและหมดแรง ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ ตั้งแต่อาการแรกที่มี มักจะเป็นอาการไข้ แต่ระยะออกผื่นมักจะเป็นช่วงที่สามารถแพร่เชื้อได้มาก 

 

- ช่วงออกผื่น (ภายใน 1-3 วันหลังมีไข้) มีลักษณะการกระจายเริ่มจากบริเวณหน้า และกระจายไปส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่ (95%) ของผู้ป่วยจะมีผื่นที่หน้า และ 75% มีผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า แต่ยังสามารถพบผื่นได้ที่บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ช่องปาก (70%) อวัยวะเพศ (30%)

 

ลักษณะของผื่นจะพัฒนาไปตามระยะดังต่อไปนี้ ผื่นนูนแดง (Maculopapular) ตุ่มน้ำใส (Vesicles) ตุ่มหนอง (Pustules) และสะเก็ด (Crust) โดยพบว่าหากผู้ป่วยมี่ผื่นลักษณะสะเก็ดขึ้นจนแห้งและร่วงหลุดไป จะไม่มีการแพร่เชื้อได้

 

ส่วนใหญ่หายเองได้ แต่สามารถพบผู้ป่วยมีอาการรุนแรงได้

 

- เด็กที่มีปัญหาด้านสุขภาพส่วนบุคคล เช่น มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

 

- มีอาการแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อซ้ำซ้อน ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อเข้ากระแสเลือด และการติดเชื้อที่กระจกตา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ระยะฟักตัวของโรคค่อนข้างนานจากวันที่สัมผัสและวันเริ่มป่วย 5-21 วัน อาการ คือ มีไข้ปวดศีรษะต่อมน้ำเหลืองโต ปวดกล้ามเนื้อ และหมดแรง แต่จะไม่ค่อยมีน้ำมูก ผื่นออกตามตัว ภายใน 1-3 วันหลังมีไข้ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่ทำลายเชื้อโดยตรง ที่ผ่านมา มีเพียงวัคซีนฝีดาษคน โดยโรคฝีดาษลิง รักษาหายได้ ทั้งนี้ลักษณะผื่นจะเป็นตุ่มนูนจะคล้ายกับหลายโรค 

 

ทั้งนี้ หากพบผู้ติดเชื้อ ฝีดาษลิง ต้องแยกกักตัว ทำการสอบสวนโรค เพื่อควบคุมวงระบาดของโรค และทำการรักษา

 

สถานการณ์โรคฝีดาษลิงและการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ในประเทศไทย (วันที่ 5 มิ.ย. 2565) ยังไม่พบรายงานยืนยันผู้ติดเชื้อแต่มีเพียงผู้ป่วยสงสัย 6 ราย แต่ผลออกมาแล้ว เป็นเพียงเชื้อเริมไม่ใช่ฝีดาษลิง ถึงแม้โอกาสที่ไทยจะพบผู้ป่วยจากการเดินทางเข้าประเทศได้ เชื่อว่า ระบบการเฝ้าระวัง และความร่วมมือต่างๆ จะทำให้ไทยสามารถตรวจจับได้ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขมีแผนในการรองรับ รวมถึงแผนในการเตรียมจัดหายาและวัคซีนโรคเพิ่มเติมในอนาคต

 

 

สำหรับการเตรียมความพร้อม การเฝ้าระวังและตอบโต้สถานการณ์ผีดาษลิงในประเทศไทย เน้นการเฝ้าระวังโรค ผู้เดินทางเข้าประเทศ, ผู้ป่วยรับการรักษาในโรงพยาบาล คลินิกโรคผิวหนัง คลินิก STI ผู้ดูแลสัตว์ป่าจากแอฟริกา เตรียมพร้อมทางห้องปฏิบัติการ และการเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เตรียมพร้อมทีมสอบสวนโรค และการเตรียมพร้อมด้านเวชภัณฑ์ ยา วัคซีน และอุปกรณ์การแพทย์

 

อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำว่า โรคฝีดาษลิงความรุนแรงของโรคยังไม่ได้น่ากังวล ส่วนความจำเป็นของวัคซีนในการฉีดป้องกันโรค ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็น ต้องดูตามสถานการณ์ แต่มาตรการที่ทำได้ ตอนนี้ คือ การเฝ้าระวัง

 

ด้าน สถานการณ์ของโรคฝีดาษลิงทั่วโลกล่าสุด พบผู้ป่วยแล้วใน 43 ประเทศ ส่วนใหญ่มีการรายงานในประเทศไทยยุโรป มีผู้ป่วยยืนยัน 920 คนมีผู้ป่วยสงสัย 70 คน โดยพบว่า ระยะระบาดของโรคไม่เร็วเหมือนโควิด-19 อาการไม่รุนแรง ขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

 

ขณะที่ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2565 การประเมินความเสี่ยงของโรคฝีดาษลิงในภาพรวมความเสี่ยงของสาธารณสุขระดับโลก จัดอยู่ในความเสี่ยงปานกลาง (Moderate) เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จำนวนผู้ป่วยและกลุ่มก้อนผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายงานมาจากหลายภูมิภาคทั่วโลก และไม่มีประวัติเชื่อมโยงทางระบาดวิทยาที่แน่ชัดกับประเทศที่เป็นโรคประจำถิ่นของโรคฝีดาษลิง และเนื่องจากมีจำนวนผู้ป่วยจำนวนมากที่บ่งขี้ว่าน่าจะมีการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ 

 

ข้อสังเกตที่พบจากข้อมูลการระบาดของโรคฝีดาษลิงในประเทศแถบยุโรป/อเมริกา พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (>90%) วัยทำงาน อายุ 20 - 59 ปี (>90%) อาการส่วนใหญ่มีผื่นแดงนูน ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง และระยะตกสะเก็ด ทั้งบริเวณอวัยวะเพศ ปาก และบริเวณผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะแขนขา ร่วมกับมีไข้นำมาก่อน และเป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือมีประวัติเดินทางจากประเทศที่พบการระบาดของโรคในประเทศ.

 

ภาพจาก กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวที่เกี่ยวข้อง