รีเซต

แห่ทิ้งบอนด์ ซื้อทองคำ ทั่วโลกกังวลหนี้ท่วม

แห่ทิ้งบอนด์ ซื้อทองคำ ทั่วโลกกังวลหนี้ท่วม
TNN ช่อง16
4 กันยายน 2568 ( 13:05 )
9

ปรากฏการณ์การเทขายพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวทั่วโลก เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะต้นเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ มาจากความกังวลด้านฐานะการคลังของรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ที่สำคัญมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์อาจทวีความรุนแรงขึ้น

พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ซึ่งปกติถือว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ได้ถูกนักลงทุนทั่วโลกเทขายออกมาอย่างหนัก จนผลตอบแทนพุ่งขึ้นทั่วโลก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ยังกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำแทน จนส่งผลให้ราคาทองคำสปอต พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,550 ดอลลาร์ 

ขณะที่ปรากฏการณ์การเทขายพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ได้ผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลญี่ปุ่นพุ่งขึ้นอย่างมาก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ร้อยละ 3.255 

ขณะที่ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาระหนี้ภาครัฐและเงินเฟ้อระยะยาว ยังกระตุ้นนักลงทุนในยุโรป เกิดการเทขายพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวด้วย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 30 ปียังคงใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีที่ร้อยละ 3.398 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 30 ปี ปรับขึ้นไปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1998 ที่ร้อยละ 5.752 

"คริสเตียน เซวิง" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Deutsche Bank กล่าวว่า แรงกดดันส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการถึงการเทขายพันธบัตรระยะยาว คือการปฏิรูปเศรษฐกิจที่จำเป็นเพื่อรองรับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ยังขาดหายไป พร้อมเสริมว่าแนวโน้มนี้อาจดำเนินต่อไป หากยังเห็นความไม่มั่นคงทางการเมืองเพิ่มขึ้น และไม่เห็นการปฏิรูปเกิดขึ้น โดยมุมมองดังกล่าว ยังสอดคล้องนักวิเคราะห์บางราย ที่มองว่าแนวโน้มการเทขายพันธบัตรระยะยาวทั่วโลกนี้ อาจทวีความรุนแรงขึ้น

“วอลเลอร์" หนุนเฟดหั่นดอกเบี้ย อุ้มตลาดแรงงานย่ำแย่

"คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์" ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ แสดงจุดยืนว่าเขาสนับสนุนให้เฟด เริ่มวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า พร้อมระบุว่าขณะนี้ ธนาคารกลางมีความยืดหยุ่นเพียงพอ ที่จะปรับความเร็วของการลดดอกเบี้ยในอนาคต

"คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์" ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ตลาดแรงงานเริ่มแย่ มันก็จะแย่ลงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา ดังนั้น สำหรับเขาจึงมองว่า เฟดจำเป็นต้องเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการลดดอกเบี้ยแบบตายตัวทุกครั้ง เพราะสามารถค่อย ๆ รอดูทิศทางได้ เนื่องจากยังมีบางส่วนที่แสดงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้า 

นอกจากนี้ เขายังมองว่า เฟดควรมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง ในอีก 3–6 เดือนข้างหน้า เพราะอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ยังสูงกว่าระดับ “สมดุล” ราวร้อยละ 1.0 – 1.5 ส่วนจะเป็นการลดดอกเบี้ยในทุกการประชุมหลังจากนี้ หรือครั้งเว้นครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมา อย่างไรก็ดี แม้เขาจะยอมรับว่าภาษีนำเข้า เริ่มเป็นภาระทางภาษีต่อผู้บริโภคและจะเป็นปัจจัยที่ชะลอการเติบโต แต่ในประมาณการของเขา ยังไม่เห็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้

เมื่อถูกถามถึงความพยายามของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการปลด “ลิซ่า คุก” ผู้ว่าการเฟดอีกราย "วอลเลอร์" ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ย้ำถึงความสำคัญของความเป็นอิสระของเฟด โดยเขาระบุว่า “ความเป็นอิสระของเฟดเป็นสิ่งสำคัญต่อทุกอย่างที่เราทำ และถึงแม้จะมีสิ่งที่ทำให้คนกังวล แต่เขายังเชื่อว่าเฟดยังคงมีความเป็นอิสระ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาจะปฏิบัติหน้าที่และตัดสินใจอย่างไม่ฝักใฝ่การเมือง

สำหรับ "คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์" เป็นหนึ่งในผู้ว่าการเฟด 2 คน ที่ออกเสียงโหวตให้เฟดลดดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ทรัมป์ จะเลือกให้มารับตำแหน่งประธานเฟดต่อจาก "เจอโรม พาวเวล" ในปีหน้าด้วย

จ้างงานในสหรัฐฯ ส่อแววซบเซา ชาวอเมริกัน หางานใหม่ได้ยากขึ้น

ขณะที่ข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยล่าสุด ยังคงบ่งชี้ถึงการจ้างงานใหม่ ที่ยังคงอ่อนแอ โดยหนึ่งในสาเหตุก็มาจากการที่ภาคธุรกิจ เกิดความลังเลในการจ้างงาน เพราะกังวลผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากร ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”

สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 170,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.38 ล้านตำแหน่ง

โดยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานที่ลดลง ได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจเกิดความลังเลในการจ้างงาน

รายงานระบุว่า ข้อมูลดังกล่าว เป็นการสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้น ต่อการอ่อนแรงของตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งมีสัญญาณเล็ก ๆ ปรากฏมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา โดยผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่านี่คือ “จุดเปลี่ยน” ของตลาดแรงงาน อย่างหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ “Navy Federal Credit Union” (NFCU) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ไม่แสวงหากำไร กล่าวว่า “นี่เป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ กำลังชะงัก และตอนนี้ก็เป็นเรื่องยากมากที่ใครจะหางานใหม่ได้”

ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์นี้ ยังข้อมูลตลาดแรงงานที่นักลงทุนต้องจับตาต่อ นั่นคือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ที่จะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีนี้ และจะต่อเนื่องด้วยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยขณะนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 74,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม หลังจากเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าอัตราว่างงาน จะเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 4.3 ในเดือนสิงหาคม จากระดับร้อยละ 4.2 ในเดือนกรกฎาคม


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง