โอกาสทองการลงทุนไทย ผู้เชี่ยวชาญชี้เศรษฐกิจฟื้นตัวแรงปีหน้า
ในงานสัมมนา "Accelerate Thailand ขับเคลื่อนไทยไปเชื่อมโลก" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2567 ที่ทรูดิจิทัล พาร์ค ผู้เชี่ยวชาญในวงการหลักทรัพย์ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยและโอกาสการลงทุนในอนาคต โดยมีมุมมองที่หลากหลายแต่เห็นพ้องในหลายประเด็นสำคัญ
คุณกวี ชูกิจเกษม ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และคอนเทนต์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดประเด็นด้วยการชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งของประเทศไทยในด้านภูมิศาสตร์และการท่องเที่ยว "ประเทศไทยเรามีภูมิศาสตร์ที่ดีมาก เราถูกล้อมรอบด้วยประชากรกว่า 4 พันล้านคน ซึ่งเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล" คุณกวีกล่าว พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปีนี้มีแนวโน้มที่จะสูงถึง 800,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก
คุณกวียังเน้นย้ำถึงโอกาสจากนักท่องเที่ยวอินเดีย โดยระบุว่าปัจจุบันมีเพียง 1% ของประชากรอินเดียที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งหากสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10% จะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อการท่องเที่ยวไทย นอกจากนี้ คุณกวียังกล่าวถึงจุดแข็งด้านพลังงานทดแทนของไทย โดยเฉพาะศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์
คุณกวีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2018 โดยเฉพาะในแง่ของ GDP และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม คุณกวีเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยสามารถเติบโตได้ในระดับเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน
คุณอาทิตย์ จันทร์สว่าง นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกฎระเบียบในตลาดทุน โดยเน้นย้ำว่าควรมีความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลและการส่งเสริมการลงทุน "กฎระเบียบภาครัฐมีความจำเป็น แต่ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่น่าสนใจและคึกคัก" คุณอาทิตย์กล่าว นอกจากนี้ คุณอาทิตย์ยังได้เปรียบเทียบผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ชี้ให้เห็นว่าแม้อัตราดอกเบี้ยของไทยจะต่ำกว่า (อยู่ที่ประมาณ 2.5% เทียบกับ 5.75% ของอินโดนีเซียและ 6.25% ของฟิลิปปินส์) แต่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตได้
คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น โดยระบุว่าความกังวลเรื่องราคาน้ำมันและค่าเงินบาทเป็นประเด็นสำคัญ "ผมเชื่อว่าค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงถึงระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น" คุณสรพลกล่าว พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3.1% ในปีหน้า
คุณสรพลแนะนำให้จับตาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็ก นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ว่ามีแนวโน้มที่ดีจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ได้เน้นย้ำถึงจุดแข็งของประเทศไทยในด้านการบริการและการแพทย์ "เรามีความเข้มแข็งในด้านการบริการและการแพทย์ ซึ่งเป็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากทั่วโลก" คุณทิวากล่าว
ในส่วนของการลงทุน คุณอาทิตย์มองว่าหุ้นกลุ่มสื่อสารมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ลดลง โดยเฉพาะในประเด็นการประมูลคลื่นความถี่ 5G ที่คาดว่าจะมีการแข่งขันที่ไม่รุนแรงเท่าในอดีต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านเห็นพ้องว่า การเติบโตในระยะยาวของตลาดหุ้นไทยยังต้องอาศัยการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างมาก คุณกวีได้ยกตัวอย่างความท้าทายในการทำธุรกิจในประเทศไทย เช่น การต้องขอลายเซ็นถึง 50 ลายเซ็นเพื่อเริ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เพียงหนึ่งโครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบราชการที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน โดยคุณกวีเน้นย้ำว่า "การลงทุนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบ ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวของมันเองเป็นหลัก" และแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาพื้นฐานของแต่ละสินทรัพย์ที่จะลงทุนอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนที่ดีท่ามกลางความท้าทายของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน
ภาพ TNN
เรียบเรียงโดย ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN