"คนละครึ่งพลัส" ปัดฝุ่น อัพเกรดใหม่ กระตุ้นใช้จ่ายทั่วประเทศ

โครงการ “คนละครึ่งพลัส" มาตรการบรรเทาค่าครองชีพ และกระตุ้นการใช้จ่ายที่หลาย ๆ คนคิดถึง กำลังจะกลับมา ซึ่งแน่นอนว่าโครงการดังกล่าวในรอบนี้อาจจะมีการอัพเกรดรูปแบบให้แตกต่างจากเดิมไปบ้างตามสถานการณ์ แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงเป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แล้วมาตรการนี้ว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร
มาเริ่มกันที่หลักการของโครงการนี้กันก่อนว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร “คนละครึ่งพลัส” คือโครงการที่รัฐจะใส่เม็ดเงินลงไปในระบบผ่าน Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลให้กับประชาชน ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เช่นเคย ซึ่งการใส่เงินเข้าไปในระบบ ก็จะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีมากขึ้น สามารถหมุนเวียนได้หลายรอบ สร้างตัวคูณของมูลค่าเศรษฐกิจ หรือ Multiplier ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่าเงินที่ใส่เข้าไปในระบบนั่นเอง
ซึ่งถ้ามองอีกหลักการหนึ่งที่สำคัญคือ การใส่เงินลงไปในระบบของรัฐ จะเป็นในลักษณะของการ “อุดหนุน” หรือ subsidize ไม่ได้ให้เปล่าฟรี ๆ หมายความว่าประชาชนที่ได้รับการอุดหนุนก็จะต้องใช้จ่ายด้วยเช่นเดียวกันในลักษณะที่ประชาชนใช้จ่าย 50% รัฐออกให้ 50% ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ก็จะสามารถสร้างงมูลค่าเพิ่มให้กับเงินหมุนเวียนได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือเมื่อประชาชนได้รับการอุดหนุนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว 50% ก็จะส่งผลให้เหลือเงินอีกส่วนหนึ่งไว้จับจ่ายใช้สอยในสินค้าจำเป็นได้เพิ่มสูงขึ้น หรือไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ แทน ก็เป็นเหมือนการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนในประเทศไปพร้อม ๆ กัน
ซึ่งโครงการนี้ก็จะก่อให้เกิดผลประโยชน์เชิงบวกทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เมื่อประชาชนได้รับการอุดหนุนให้มีกำลังซื้อมากขึ้น หรือเหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น หากไม่บริโภคเพิ่มขึ้น ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นแทนได้ เช่นสามารถที่จะนำไปชำระหนี้เพื่อลดภาระหนี้สินได้บางส่วน หรือนำไปบรรเทาภาระเรื่องค่าครองชีพ หรือการศึกษาบุตรได้อีกด้วย
ที่กล่าวมาก็จะเป็นผลประโยชน์เชิงบวกที่ประชาชนได้รับจากโครงการนี้ แล้วในด้านของภาครัฐที่เป็นคนใส่เงินเข้าไปในระบบจะได้รับผลประโยชน์เชิงบวกอย่างไรบ้าง สิ่งที่ภาครัฐต้องการจากโครงการนี้คือการให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น หมุนได้หลายรอบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้าเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบมากขึ้น นั่นหมายความว่าห่วงโซ่อุปทานในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดก็จะถูกหมุนเวียนขับเคลื่อนตาม
เพราะเมื่อมีการบริโภคสูงขึ้น การผลิตก็เพิ่มสูงขึ้น ความต้องการวัตถุดิบ และแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น การขนส่งเพิ่มขึ้น จะก่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร เกิดความต้องการทั้งภาคการผลิต ภาคแรงงาน ภาคขนส่ง และพลังงาน ก็จะก่อให้เกิดการสร้างรายได้ในระบบเศรษฐกิจทั้งห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มสูงขึ้น สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกทาง
โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินว่าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” รวมถึงการเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่จะใช้งบประมาณ รวมกว่า 66,000 ล้านบาทว่า หากพิจารณาในส่วนของเม็ดเงินดังกล่าว ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 0.4% ของ GDP มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวม 2 โครงการ โดยเฉพาะ “คนละครึ่ง” คาดว่าจะมีผลต่อ GDP ประมาณครึ่งหนึ่งของ 0.4% หรือราว 0.2% ของ GDP
ขณะที่กระทรวงการคลังประเมินในเบื้องต้นว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2568 จะขยายตัวได้เพียง 0.3% แต่จากการเร่งผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการบริโภค โดยเฉพาะคนละครึ่งพลัส และการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวกเพิ่มอีก 0.2-0.4%
ขณะเดียวกันยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง การเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น เชื่อว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจโตใกล้เคียงอีก 0.7% ดังนั้นจึงมั่นใจว่า เมื่อรวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/68 จะโตเกิน 1% แน่นอน
ในขณะเดียวกันในฟากฝั่งของเอกชนก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน จากการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จํากัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า เมื่อย้อนไปดูตัวเลขยอดขายสาขาเดิม หรือ SSSG ที่เกิดขึ้นในช่วงมาตรการคนละครึ่งครั้งที่ผ่านมาจะพบว่า SSSG ใน 2 เฟสหลังของกลุ่มค้าปลีกเป็นบวก เนื่องจากไม่มีผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด 19 เหมือน 3 เฟสแรก
และจะสังเกตได้ว่ากลุ่มค้าปลีกมี SSSG ที่เติบโตจากช่วงเดียวกันในช่วงเวลานั้นๆ โดดเด่นกว่าในกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้น มองว่าหากรัฐบาลทํานโยบาย คนละครึ่งจะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก และร้านขายสินค้าให้ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม
และที่สำคัญที่สุดคือบรรดาผู้ประกอบการรายย่อย ร้านอาหารขนาดเล็ก สตรีทฟูดส์ SMEs ที่เป็นเหมือนลมหายใจของเศรษฐกิจไทย ก็จะได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่คึกคัก เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สามารถต่อลมหายใจให้กับอุตสาหกรรมร้านอาหารที่เป็นเสน่ห์ของเมืองไทย
ถึงแม้ว่าโครงการคนละครึ่งพลัส จะเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในภาพรวมก็เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ในระหว่างที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ แต่มาตรการในการประคับประคอง หรือกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวก็ยังเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการ ซึ่งทุกฝ่ายก็ล้วนแล้วแต่คาดหวังว่ามาตรการต่าง ๆ ที่จะออกมาต่อจากนี้ จะเป็นยาแรงที่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
