รีเซต

ดาวโจนส์ทำนิวไฮ ยุโรป-ฮ่องกง -1% เล็งหุ้นได้ประโยชน์ ”ทรัมป์”กลับมาเป็นปธน.

ดาวโจนส์ทำนิวไฮ ยุโรป-ฮ่องกง -1% เล็งหุ้นได้ประโยชน์ ”ทรัมป์”กลับมาเป็นปธน.
ทันหุ้น
16 กรกฎาคม 2567 ( 15:33 )
62

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์โดยบล.เอเซียพลัสรายงานภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศดังนี้

MARKET SUMMARY

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น โดยดัชนี Dow Jones ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วน Russell2000 ทำ 52 Week high ได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ด้าน S&P500 +0.28% และ NASDAQ +0.42% นำโดยกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์หากทรัมป์กลับมาเป็น ปธน. อีกครั้ง ภายหลังจากที่คะแนนความนิยมพุ่งสูงสุดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง โดยดัชนี STOXX600 -1.02% ถูกกดดันจากกลุ่ม Luxury หลังจากที่ทั้ง Burberry และ Swatch รายงานผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด บ่งชี้ถึงอุปสงค์ของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูยังคงเผชิญแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจ

วานนี้ดัชนี HSI Index ปรับตัวลงแรง -1.52% หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะ GDP ที่เติบโตช้าสุดในรอบ 5 ไตรมาส ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจอาจเติบโตไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่ภาครัฐตั้งไว้ขณะที่ตลาดติดตามการประชุม Third Plenum โดยนักวิเคราะห์คาดอุตสาหกรรม EV และท่องเที่ยวมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการประชุมในครั้งนี้

ข่าวหุ้นอัพเดท Goldman Sachs, BYD, Burberry, Swatch group, Apple, BlackRock

.

ตลาดหุ้นสหรัฐ : ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น โดยดัชนี Dow Jones ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วน Russell2000 ทำ 52 Week high ได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ด้าน S&P500 +0.28%และ NASDAQ +0.42% นำโดยกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์หากทรัมป์กลับมาเป็น ปรน. อีกครั้ง ภายหลังจากที่คะแนนความนิยมพุ่งสูงสุดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

หุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์หาก Trump กลับมาเป็น ปธน. สมัยที่ 2 ปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น นำโดย หุ้น Trump Media & Technology Group เพิ่มขึ้น 31.4% รวมถึงกลุ่ม สกุลเงินดิจิทัล เช่น Coinbase Global, Marathon Digital Holdings และ Riot Platforms เพิ่มขึ้นระหว่าง 11.4% ถึง 18.3% ซึ่งสวนทางกับหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน เช่น Sunrun และ SolarEdge Technologies ลดลง 9.0% และ 15.4% ตามลำดับ รวมถึงหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเข้มงวดในการค้าภายใต้การบริหารงานของทรัมป์

 

กลุ่ม Financials ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ได้แรงหนุนจาก Goldman Sachs หลังบริษัทรายงานผลประกอบการโดยรวมในตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด โดยรายได้หลักที่เกี่ยวข้องกับ capital markets อย่าง FICC, Equities Sales & Trading รวมไปถึง Investment Banking มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการตั้งสำรองที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าสะท้อนให้เห็นคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น

 

นักกลยุทธ์จาก Citi มองว่าตลาดอาจตอบสนองต่อคะแนนนิยมของ Trump ที่พุ่งขึ้นแรงในระยะสั้นโดยคาดว่าหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงานจะมีผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ ยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้อ่อนค่า อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปมองว่าคะแนนนิยมจะค่อยๆลดลงก่อนจะถึงการเลือกตั้งเดือน พ.ย.

 

ตลาดหุ้นยุโรป : ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง โดยดัชนี STOXX600 -1.02% ถูกกดดันจากกลุ่ม Luxury หลังจากที่ทั้ง Burberry และ Swatch รายงานผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด บ่งชี้ถึงอุปสงค์ ของกลุ่มสินค้าแบรนด์หรู ยังคงเผชิญแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจ

 

กลุ่ม Consumer Discretionary - 1.64% ถูกกดดันจากราคาหุ้นสินค้าแบรนด์หรูที่ปรับตัวลดลง -2.90% หลัง Burberry แบนรด์หรูสัญชาติอังกฤษรายงานผลประกอบการ 1Q24 ออกมาต่ำกว่าคาดรวมถึงคาดว่าจะขาดทุนในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องจากอุปสงค์ในสินค้าแบนรด์หรูที่ปรับตัวลดลง จากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความกังวลด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการที่บริษัทกำลังรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูหรูมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเดิม

 

JP Morgan มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นยุโรปให้มากกว่าหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจาก 1. กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นเติบโต (growth style) ยังคงได้รับความนิยม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อหุ้นยุโรป 2. สถานการณ์ทางการเมืองฝรั่งเศสยังไม่นิ่ง และ3. เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าและภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อหุ้นยุโรป

 

นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เผยตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้แรงหนุนจาก การที่บริษัทเหล่านี้มีการลงทุนในต่างประเทศ (global exposures) และปัจจัยเฉพาะของแต่ละบริษัท (idiosyncratic drivers โดยเห็นสัญาณเชิงบวกของผลประกอบการและแนะนำให้ลงทุนในกลุ่ม ซอฟแวร์ รวมถึงกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม เช่น SAP, Siemens Energy, Maersk และ Philips ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น Sartorius, Coloplast และ Kerring

 

ตลาดหุ้นจีน : วานนี้ดัชนี HSI Index ปรับตัวลงแรง -1.52% หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะ GDP ที่เติบโตช้าสุดในรอบ 5 ไตรมาส ส่งผลให้ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจอาจเติบโตไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่ภาครัฐตั้งไว้ขณะที่ต้นสัปดาห์นี้ตลาดติดตามการประชุม Third Plenum โดยนักวิเคราะห์คาดอุตสาหกรรม EV และท่องเที่ยวมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการประชุมในครั้งนี้

 

ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาต่ำกว่าคาดและชะลอตัวในหลายองค์ประกอบ โดย GDP 2Q24 ที่ขยายตัวเพียง 4.7% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 5.1% YoY และทำระดับต่ำสุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยเฉพาะตัวเลขราคาบ้านใหม่เดือน มิ.ย. ที่หดตัวถึง 4.5% YoY ทำระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการฟื้นตัว แม้ก่อนหน้านี้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เช่น ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในเมืองใหญ่รวมถึงอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านที่ขายไม่ออกบางส่วนมาปรับเปลี่ยนเป็นบ้านราคาประหยัด โดยนักวิเคราะห์จาก Centaline Property Agency Ltd. มองว่า ว่ามาตรการกระตุ้นเหล่านี้ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด และราคาบ้านจะยังไม่ฟื้นตัว

 

ขณะที่สัปดาห์นี้ ตลาดจับตาการประชุม Third Plenum โดยนักวิเคราะห์จาก Bloomberg มองว่ามี 2 อุตสาหกรรมที่ภาครัฐจะสนับสนุนได้แก่ 1. อุตสาหกรรม EV : ได้ประโยชน์จากการที่ภาครัฐสนับสนุนด้านนวัตกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มสามารถทางการแข่งขันรวมถึงสนับสนุนการส่งออก 2. ท่องเที่ยว : สนับสนุนและยกระดับอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยว ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์มีมุมมองเป็นกลางเท่านั้น โดยคาดจะไม่มีออกมาตรการสนับสนุนขนาดใหญ่ใน ระยะสั้นเนื่องจากรัฐบาลยังคงสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นการอยู่อาศัยมากกว่าการเก็งกำไร ขณะที่กลุ่มธนาคารจะถูกกดดันจากอัตราส่วน ROE ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น

.

STOCK HIGHLIGHT โดย บล.เอเซียพลัส

Goldman Sachs (GS US) ปรับตัวขึ้น 2.57% หลังบริษัทเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด

 

- โดยรายได้รวมออกมาอยู่ที่ $1.27 หมื่นล้าน เติบโต 16.84% YoY ออกมาดีกว่าคาดที่ $1.24 หมื่นล้าน

 

- รายได้หลักมาจาก Global Banking & Markets (มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 64.3%) เติบโต14%YoY มาอยู่ที่ $8.18 พันล้าน ดีกว่าคาดที่ $7.95 พันล้าน ได้แรงหนุนมาจากการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

- รายได้จาก FICC เติบโต 17.30% YoY ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 มาอยู่ที่ $3.18 พันล้าน ดีกว่าคาดที่ $3.02 พันล้าน ได้แรงหนุนจากปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินเนื่องจากความผันผวนของตลาด

 

- รายได้จาก Equities เติบโต 6.84% YoY มาอยู่ที่ $3.17 พันล้าน ดีกว่าคาดที่ $3.08 พันล้าน ได้แรงหนุนจากปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากตลาดที่ผันผวน

 

-รายได้จาก Investment Banking Fees เติบโต 21% YoY มาอยู่ที่ $1.73 พันล้าน ได้แรงหนุนจากการทำ underwriting หุ้นที่เติบโต 25.15% YoY และ ตราสารหนี้ที่เติบโต 38.84% YoY รวมไปถึงรายได้จากการให้คำปรึกษาด้านการเงินที่เพิ่มขึ้น 6.67% YOY การเติบโตในส่วนนี้สะท้อนถึงสภาพตลาดที่เอื้ออำนวยต่อการทำ Deals อย่าง M&A หรือ IPO อย่างไรก็ตามรายได้ในส่วนนี้ออกมาต่ำกว่าคาดเพียงเล็กน้อยที่ $1.82 พันล้าน

 

- รายได้จาก Asset & Wealth Management ยังมีการเติบโต 27% YoY และ 3% QoQ มาอยู่ที่ $3.88 พันล้าน ได้แรงหนุนจากค่าธรรมเนียมที่ได้จากสินทรัพย์ภายใต้การดูแล (AUS) ที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย ซึ่งแสดงถึงความสำเร็จของบริษัทในการดึงดูดและรักษาสินทรัพย์ของลูกค้า รวมไปถึงการฟื้นตัวของมูลค้าในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างไรก็ตามรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดเพียงเล็กน้อยที่ $3.90พันล้าน

 

- รายได้จาก Platform Solutions เติบโต 1.52% YoY มาอยู่ที่ $669 ล้าน ออกมาสูงกว่าคาดที่ $637.1 ล้าน ได้แรงหนุนจากการเติบโตเล็กน้อยของรายได้จากแพลตฟอร์มผู้บริโภคแม้จะขาย GreenSky ออกไป สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจบัตรเครดิตและเงินฝาก ซึ่งช่วยชดเชยในส่วนนี้

 

- ทั้งนี้ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยรวมไม่ได้มีการเติบโตจากปีก่อนหน้าแต่หดตัวลง 1% QoQ มาอยู่ที่ $8.53 พันล้าน โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายด้านในการชดเชยและสวัสดิการ (Compensation และ Benefit ) ซึ่งเติบโต17% YoY และค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น 19% YoY อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในสองส่วนนี้ไม่น่ากังวลเนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการชดเชยและสวัสดิการสะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการลงทุนในด้านบุคลากรเพื่อสนับสนุนการเติบโต

 

- ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นเกิดจากปริมาณการซื้อขายและกิจกรรมของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ในส่วนนี้

 

-ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายโดยรวมยังถูกชดเชยด้วยการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของ Depreciation & Amortization ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

 

- ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหดตัวลง 54% YoY และ 11% QoQ มาอยู่ที่ $282 ล้าน ซึ่งน้อยกว่าคาดที่ $468 ล้าน โดยการลดลงของค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สะท้อนถึงคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้นและการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในธุรกิจบัตรเครดิต ส่งผลให้มียอด net charge- offs ที่ลดลง ในขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ $8.62 เติบโต 179.87% YoY ดีกว่าคาดที่ $8.36

 

- บล.เอเซียพลัสยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ Goldman Sachs เนื่องจากผลประกอบการโดยรวมในไตรมาส 2ออกมาดีกว่าคาด รายได้หลักที่เกี่ยวข้องกับ capital markets อย่างFICC, Equities Sales & Trading รวมไปถึง Investment Banking มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มากไปกว่านั้นเรายังเห็นถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของผู้บริหาร รวมไปถึงการตั้งสำรองที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าสะท้อนให้เห็นคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น

 

BYD (1211 HK, 002594 CH) ปรับตัวลง 0.97% เมื่อวานนี้ในตลาดฮ่องกง ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Jefferies ยังคงคำแนะนำไว้ที่ Buy และได้มีการปรับราคาเป้าหมายหุ้นในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาอยู่ที่ 317 หยวนต่อหุ้น เนื่องจากคาดการณ์ยอดขายและรายได้ในปี 2024 ที่ดีขึ้น โดยได้แรงผลักดันจากยอดส่งมอบรถรุ่น DM5.0 (5th Generation DM i- system)

 

- นักวิเคราะห์คาดการณ์ยอดขายปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 3.6 ล้านคันเป็น 3.8 ล้านคัน และรายได้ปี 2024 เพิ่มขึ้นเป็น 3.44 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้นประมาณ 9% จากปีก่อนหน้า มากไปกว่านั้นยังมองว่าไตรมาส 3จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากรุ่น DM4.0 ไปสู่รุ่นใหม่ โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 4 โดยรุ่น DM5.0 รุ่นต่อไปคือ Song L ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมที่จะถึงนี้

 

Burberry (BRBY LN) ปรับตัวลง 16.08% หลังบริษัทเผยรายได้ในไตรมาส 1 ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราห์คาด รวมไปถึงการประกาศยุติการจ่ายปันผลในปีบัญชี 2025และการลาออกของ CEO Jonathan Akeroyd

 

- โดยรายได้รวมออกมาอยู่ที่ GBP 458 ล้าน ต่ำกว่าคาดที่ GBP 491.1 ล้าน ขณะที่รายได้ที่ไม่นับรวมผลกระทบจากค่าเงิน หดตัวลง 20% แย่กว่าที่คาดว่าจะหดตัวลงเพียงแค่ 14.3% รายได้ที่ออกมาต่ำกว่าคาดได้รับผลกระทบจากการหดตัวของรายได้ในทุกภูมิภาค โดยรายได้ใน เอเชีย/ ยุโรป/ สหรัฐ หดตัวลง 23%/ 16%/23%ตามลำดับ แย่กว่าที่คาดว่าจะหดตัว 21%/ 7.17%/ 14.8%ขณะที่รายได้ในจีนหดตัวลง 21% แต่ยังออกมาดีกว่าที่คาดว่าจะหดตัวลง 30%

 

- มากไปกว่านั้นผู้บริหารได้หล่าวว่าหากแนวโน้มการชะลอตัวของรายได้ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องในไตรมาสปัจจุบัน บริษัทอาจมีโอกาสขาดทุนจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีบัญชี 2025และกำไรจากการดำเนินงานสำหรับทั้งปิบัญชี 2025 จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

- อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังว่ามาตรการที่ดำเนินการอยู่จะเริ่มเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้บริษัทยังสามารถคว้าตัว CEO คนล่าสุดของ Michael Kors กับ Coach คุณ Joshua Schulman ขึ้นมาเป็น CEO คนใหม่ของ Burberry

 

Swatch group (UHR SW) ปรับตัวลง 9.78% หลังบริษัทเผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ออกมาต่ำกว่าคาดได้รับผลกระทบจากความต้องการในจีนที่หดตัวลงและผลกระทบจากค่าเงิน

 

-โดยรายได้รวมออกมาอยู่ที่ CHF 3.45 พันล้าน หดตัวลง 14.28% YoY ต่ำกว่าคาดที่ CHF 3.77 พันล้าน รายได้ที่ไม่นับรวมผลกระทบจากค่าเงินหดตัวลง 10.70% แย่กว่าที่คาดว่าจะเติบโต 1.86%ขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานออกมาอยู่ที่ 5.92%หดตัวลงจาก 13.939 ในปีก่อนหน้า และออกมาต่ำกว่าคาดที่ 13.4%

 

- อัตรากำไรจาการดำเนินงานจาก Watches & Jewelry (ซึ่งเป็นรายได้หลัก)ออกมาอยู่ที่ 11% หดตัวลงจาก 15.70%ในปีก่อนหน้าและออกมาต่ำกว่าคาดที่ 15.8%

 

-ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นออกมาต่ำกว่าคาดที่ CHF 2.62 หดตัวลง 72.04% YoY ต่ำกว่าคาดที่ CHF 7.35

 

- ทั้งนี้ผู้บริหารคาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยกล่าวว่าในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการได้รับผลกระทบจากความต้องการสินค้าหรูในจีนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานในเดือนมิถุนายนกลับมาอยู่เหนือระดับ 15% ซึ่งเป็นสัญญาณบวกสำหรับครึ่งหลังของปี 2024และมองว่าผลประกอบการของครึ่งปีหลังจะได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในญี่ปุ่นและสหรัฐ

 

Apple (AAPL US) ปรับตัวขึ้น 1.67% หลัง Bloomberg เผยยอดขายในอินเดียเติบโตกว่า 33%YoY ด้าน Loop Capital และ Morgan Stanley ปรับคำแนะนำขึ้น

 

- Bloomberg เผยยอดขายรายปีในอินเดียพุ่งถึง $8 พันล้านหรือเพิ่มขึ้น 33% YoY หลังการบริโภคในอินเดียฟื้นตัว ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายฐานการผลิตและตลาดไปอินเดีย

 

- Morgan Stanley ปรับราคาเป้าหมาย Apple ขึ้นเป็น $273 และคงคำแนะนำ overweight รวมถึงเลือกเป็น Top pick หลังปรับประมาณการยอดขาย iPhone เติบโตเร่งตัวขึ้น

 

-Loop Capital ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Buy ที่ราคาเป้าหมาย $300 หลังมองบริษัทได้ประโยชน์จาก consumer's Gen AI

 

BlackRock (BLK US) ปรับตัวลง 0.61% หลังบริษัทเผยผลประกอบการออกมาผสมผสาน รายได้และยอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิของบริษัท (Net inflows) ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

 

- โดยรายได้ออกมาอยู่ที่ $4.81 พันล้าน เติบโต 7.66% YoY ติดต่อกันมา 4 ไตรมาสแต่ออกมาต่ำกว่าคาดเพียงเล็กน้อยที่ $4.83พันล้าน

 

-สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Asset Under Management) มีการเติบโต 12.95% YoY มาอยู่ที่ $ 10.65 ล้านล้านแต่ออกมาต่ำกว่าคาดที่ $10.73 ล้านล้าน

 

- ในส่วนของยอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิของบริษัทออกมาอยู่ที่ $8.16 หมื่นล้านพลิกกลับมาเติบโต 1.75% VoY เป็นไตรมาสแรก แต่ออกมาต่ำกว่าคาดที่ $1.01 แสนล้าน

 

-ในขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ $10.36 ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ $9.28และยังดีกว่าคาดที่ $9.93โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ออกมาสูงกว่าคาด 1.44% อยู่ที่ 44.10%

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง