อเมริการวยขึ้น จาก “ภาษีทรัมป์” โกยรายได้ภาษี ทะลุแสนล้านดอลล์

รัฐบาลสหรัฐฯ รวยขึ้นอย่างมหาศาล จากนโยบายเก็บภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้ยอดจัดเก็บภาษีอากรทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยรายงานล่าสุดระบุว่า การจัดเก็บภาษีอากรของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายน หลังมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีความรุนแรงขึ้น จนส่งผลให้ยอดจัดเก็บภาษีอากรทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 324,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรอบปีงบประมาณ และทำให้งบประมาณเกินดุลอย่างเหนือความคาดหมายถึง 27,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนดังกล่าว
ข้อมูลงบประมาณดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรกำลังเริ่มสร้างรายได้สำคัญให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และมีแนวโน้มที่จะตอกย้ำมุมมองของ "ทรัมป์" ที่ว่า "ภาษีศุลกากรเป็นแหล่งทำรายได้ที่มหาศาล" และเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับใช้นโยบายต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้า โดยทรัมป์เพิ่งกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "เงินก้อนโต" จะเริ่มไหลเข้ามาหลังจากที่เขากำหนดอัตราภาษีศุลกากร Reciprocal tariffs ที่สูงขึ้นกับคู่ค้าของสหรัฐในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ ผลจากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ พลิกกลับมามีงบประมาณเกินดุลมากกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน จากผลขาดดุล 316,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีงบประมาณเกินดุลในเดือนมิถุนายน คือในปี 2560 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของ "ทรัมป์" นอกจากนี้ การเกินดุลงบประมาณดังกล่าว ยังทำให้ยอดขาดดุลสะสมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ อยู่ที่ 1,340,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นกำลังช่วยเสริมสถานะทางการเงินของรัฐบาล โดยรายได้จากภาษีศุลกากรในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 301เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณปัจจุบัน รายได้รวมจากภาษีศุลกากรอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นแล้วร้อยละ 86จากปีงบประมาณที่แล้ว
"ยุโรป - เม็กซิโก" โวย "ทรัมป์" รีดภาษีร้อยละ 30
สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก เป็นประเทศและภูมิภาคล่าสุด ที่ได้รับจดหมายจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” แจ้งอัตราภาษีร้อยละ 30 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมซึ่งแน่นอนว่าทั้งสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกไม่พอใจ และพร้อมจะตอบโต้
เมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์จดหมายลงบนTruth Socialประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยและ 30 สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไปโดยจดหมายที่ส่งให้แก่EUนั้น ส่งถึงเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งทรัมป์ระบุตอนหนึ่งว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อ EU ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ขณะที่จดหมายถึงเม็กซิโก ซึ่งส่งถึง "คลอเดีย เชนบาม" ประธานาธิบดี ระบุว่าแม้สหรัฐฯ จะยอมรับว่าเม็กซิโกให้ความช่วยเหลือในการสกัดกั้นการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ แต่ระบุว่าเม็กซิโกยังทำไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งไม่ให้อเมริกาเหนือกลายเป็น "แหล่งซ่องสุมการค้ายาเสพติด" ได้
สำหรับสหภาพยุโรปและเม็กซิโก นับเป็นสองคู่ค้ารายล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ได้ส่งจดหมายแจ้งการเก็บภาษีในอัตราใหม่ หลังจากที่เขาได้ส่งจดหมายลักษณะเดียวกันไปยังคู่ค้าของสหรัฐฯ อีก 23 ประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกำหนดภาษีตั้งแต่ร้อยละ 20 จนถึงร้อยละ 50
ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุด โดย "เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน" ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกมาเตือนว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 30 กับสินค้าที่นำเข้าจากEU อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก พร้อมประกาศว่า EU จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสมหากจำเป็น อย่างไรก็ดี "ฟอน เดอร์ เลเยน" ระบุว่า EU ยังคงมุ่งมั่นที่จะหาทางออกด้วยการเจรจา
ขณะที่รัฐบาลเม็กซิโกออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ระบุว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกที่ร้อยละ 30 นั้นไม่เป็นธรรม แต่ก็ระบุเพิ่มเติมด้วยว่าทั้งสองประเทศตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานทวิภาคีถาวรขึ้น เพื่อแก้ไขประเด็นสำคัญ ๆ และหาทางเลือกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้มาตรการภาษีดังกล่าว
"เจนเซน หวง" ขายหุ้น "Nvidia" ดันทรัพย์สินพุ่งแซง "บัฟเฟตต์"
"เจนเซน หวง" ขยับขึ้นเป็นบุคคลที่มีความมั่งคั่ง แซงหน้า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" แล้ว หลังราคาหุ้น "Nvidia" แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ผสานกับกำไรที่ได้รับจากการขายหุ้น
ทรัพย์สินสุทธิของเจน "เซน หวง" ซีอีโอของ "Nvidia" เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากแรงหนุนของนักลงทุนที่เชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความสำคัญของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ล่าสุด นิตยสาร Fortune รายงานว่ามูลค่าทรัพย์สินของ "เจนเซน หวง" เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 143,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" แห่งเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ที่มีทรัพย์สินอยู่ที่ 142,100 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ราคาหุ้นNvidiaปรับขึ้นร้อยละ 0.5 ในวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องและทำให้มูลค่าตลาดของNvidiaพุ่งแตะ 4,020,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะเดียวกัน Nvidia เอง ก็ได้เปิดเผยต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ว่า "เจนเซน หวง" ได้ขายหุ้นของบริษัทจำนวน 225,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าราว 36 ล้าน4 แสนดอลลาร์ โดยการขายหุ้นดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่เขาวางไว้ล่วงหน้าเมื่อเดือนมีนาคม โดยมีเป้าหมายขายหุ้นทั้งหมดไม่เกิน 6 ล้านหุ้นภายในสิ้นปีนี้ โดยเขาได้เริ่มขายล็อตแรกเมื่อเดือนมิถุนายน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี "Nvidia" กำลังถูกจับตามองจากฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ หลัง "เจนเซน หวง" มีแผนเดินทางเยือนจีนเร็วๆ นี้ โดยวุฒิสมาชิกสองพรรคของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายเตือนให้เขาระมัดระวังเกี่ยวกับแผนเยือนจีน ท่ามกลางกระแสกังวลเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ในจดหมาย ระบุว่า ซีอีโอของ"Nvidia" ควรหลีกเลี่ยงการพบกับบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือหน่วยข่าวกรอง ซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออก เนื่องจากการพบปะดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับบริษัทเหล่านั้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
