รีเซต

อเมริการวยขึ้น จาก “ภาษีทรัมป์” โกยรายได้ภาษี ทะลุแสนล้านดอลล์

อเมริการวยขึ้น จาก “ภาษีทรัมป์” โกยรายได้ภาษี ทะลุแสนล้านดอลล์
TNN ช่อง16
14 กรกฎาคม 2568 ( 11:39 )
11

รัฐบาลสหรัฐฯ รวยขึ้นอย่างมหาศาล จากนโยบายเก็บภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้ยอดจัดเก็บภาษีอากรทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยรายงานล่าสุดระบุว่า การจัดเก็บภาษีอากรของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายน หลังมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีความรุนแรงขึ้น จนส่งผลให้ยอดจัดเก็บภาษีอากรทะลุ 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 324,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรอบปีงบประมาณ และทำให้งบประมาณเกินดุลอย่างเหนือความคาดหมายถึง 27,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนดังกล่าว

ข้อมูลงบประมาณดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรกำลังเริ่มสร้างรายได้สำคัญให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และมีแนวโน้มที่จะตอกย้ำมุมมองของ "ทรัมป์" ที่ว่า "ภาษีศุลกากรเป็นแหล่งทำรายได้ที่มหาศาล" และเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับใช้นโยบายต่างประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้า โดยทรัมป์เพิ่งกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "เงินก้อนโต" จะเริ่มไหลเข้ามาหลังจากที่เขากำหนดอัตราภาษีศุลกากร Reciprocal tariffs ที่สูงขึ้นกับคู่ค้าของสหรัฐในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ 

ทั้งนี้ ผลจากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ พลิกกลับมามีงบประมาณเกินดุลมากกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน จากผลขาดดุล 316,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีงบประมาณเกินดุลในเดือนมิถุนายน คือในปี 2560 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกของ "ทรัมป์" นอกจากนี้ การเกินดุลงบประมาณดังกล่าว ยังทำให้ยอดขาดดุลสะสมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐ อยู่ที่ 1,340,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

การเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นกำลังช่วยเสริมสถานะทางการเงินของรัฐบาล โดยรายได้จากภาษีศุลกากรในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 301เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณปัจจุบัน รายได้รวมจากภาษีศุลกากรอยู่ที่ 113,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นแล้วร้อยละ 86จากปีงบประมาณที่แล้ว

"ยุโรป - เม็กซิโก" โวย "ทรัมป์" รีดภาษีร้อยละ 30

สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก เป็นประเทศและภูมิภาคล่าสุด ที่ได้รับจดหมายจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” แจ้งอัตราภาษีร้อยละ 30 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมซึ่งแน่นอนว่าทั้งสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกไม่พอใจ และพร้อมจะตอบโต้

เมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์จดหมายลงบนTruth Socialประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยและ 30 สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไปโดยจดหมายที่ส่งให้แก่EUนั้น ส่งถึงเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งทรัมป์ระบุตอนหนึ่งว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อ EU ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ขณะที่จดหมายถึงเม็กซิโก ซึ่งส่งถึง "คลอเดีย เชนบาม" ประธานาธิบดี ระบุว่าแม้สหรัฐฯ จะยอมรับว่าเม็กซิโกให้ความช่วยเหลือในการสกัดกั้นการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ แต่ระบุว่าเม็กซิโกยังทำไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งไม่ให้อเมริกาเหนือกลายเป็น "แหล่งซ่องสุมการค้ายาเสพติด" ได้

สำหรับสหภาพยุโรปและเม็กซิโก นับเป็นสองคู่ค้ารายล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ได้ส่งจดหมายแจ้งการเก็บภาษีในอัตราใหม่ หลังจากที่เขาได้ส่งจดหมายลักษณะเดียวกันไปยังคู่ค้าของสหรัฐฯ อีก 23 ประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกำหนดภาษีตั้งแต่ร้อยละ 20 จนถึงร้อยละ 50 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุด โดย "เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน" ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ออกมาเตือนว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 30 กับสินค้าที่นำเข้าจากEU อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก พร้อมประกาศว่า EU จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสมหากจำเป็น อย่างไรก็ดี "ฟอน เดอร์ เลเยน" ระบุว่า EU ยังคงมุ่งมั่นที่จะหาทางออกด้วยการเจรจา 

ขณะที่รัฐบาลเม็กซิโกออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ระบุว่าอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกที่ร้อยละ 30 นั้นไม่เป็นธรรม แต่ก็ระบุเพิ่มเติมด้วยว่าทั้งสองประเทศตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานทวิภาคีถาวรขึ้น เพื่อแก้ไขประเด็นสำคัญ ๆ และหาทางเลือกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้มาตรการภาษีดังกล่าว

"เจนเซน หวง" ขายหุ้น "Nvidia" ดันทรัพย์สินพุ่งแซง "บัฟเฟตต์"

"เจนเซน หวง" ขยับขึ้นเป็นบุคคลที่มีความมั่งคั่ง แซงหน้า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" แล้ว หลังราคาหุ้น "Nvidia" แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ผสานกับกำไรที่ได้รับจากการขายหุ้น

ทรัพย์สินสุทธิของเจน "เซน หวง" ซีอีโอของ "Nvidia" เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากแรงหนุนของนักลงทุนที่เชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความสำคัญของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ล่าสุด นิตยสาร Fortune รายงานว่ามูลค่าทรัพย์สินของ "เจนเซน หวง" เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 143,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" แห่งเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ที่มีทรัพย์สินอยู่ที่ 142,100 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ราคาหุ้นNvidiaปรับขึ้นร้อยละ 0.5 ในวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องและทำให้มูลค่าตลาดของNvidiaพุ่งแตะ 4,020,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในขณะเดียวกัน Nvidia เอง ก็ได้เปิดเผยต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ว่า "เจนเซน หวง" ได้ขายหุ้นของบริษัทจำนวน 225,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่าราว 36 ล้าน4 แสนดอลลาร์ โดยการขายหุ้นดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่เขาวางไว้ล่วงหน้าเมื่อเดือนมีนาคม โดยมีเป้าหมายขายหุ้นทั้งหมดไม่เกิน 6 ล้านหุ้นภายในสิ้นปีนี้ โดยเขาได้เริ่มขายล็อตแรกเมื่อเดือนมิถุนายน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี "Nvidia" กำลังถูกจับตามองจากฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ หลัง "เจนเซน หวง" มีแผนเดินทางเยือนจีนเร็วๆ นี้ โดยวุฒิสมาชิกสองพรรคของสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายเตือนให้เขาระมัดระวังเกี่ยวกับแผนเยือนจีน ท่ามกลางกระแสกังวลเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  

ในจดหมาย ระบุว่า ซีอีโอของ"Nvidia" ควรหลีกเลี่ยงการพบกับบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือหน่วยข่าวกรอง ซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออก เนื่องจากการพบปะดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับบริษัทเหล่านั้น

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง