หนองใน ผู้ชายมีอาการชัด-ผู้หญิงอาการซ่อน แต่อันตราย

ในยุคที่การพบปะนัดพบกันทำได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันมากมาย ความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาคือความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนอยากเข้าใจแต่ไม่กล้าถาม สถิติจากกรมควบคุมโรคพบว่า การติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายมากกว่าร้อยละ 60 แต่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังมีอีกหลายโรคและโรคเหล่านี้ไม่ได้เลือกรสนิยมทางเพศ ทุกคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ล้วนมีความเสี่ยงเท่าเทียมกันเพื่อให้ทุกคนเข้าใจและสามารถป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง วันนี้นพ.ประวัฒน์ จันทฤทธิ์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคติดเชื้อ รพ.วิมุตจะมาแชร์ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 3 โรคหลักที่พบบ่อย พร้อมทั้งวิธีป้องกันและการรักษาที่ทุกคนควรรู้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและมีความสุข ไม่ว่าเราจะเลือกรักใครหรือมีรสนิยมทางเพศแบบใดก็ตาม
ชวนรู้จัก 3 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด
นพ.ประวัฒน์จันทฤทธิ์ อธิบายว่า "โรคหลักของการติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอยู่ 3 โรค คือ เอชไอวีซิฟิลิส และหนองใน ทั้ง3 กลุ่มนี้สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ในคราวเดียวกัน การเข้าใจโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เอชไอวี (HIV) โรคเงียบที่ยังอันตรายไขข้อสงสัย ทำไมกลุ่ม LGBTQ+ จึงเสี่ยงสูง?
แน่นอนว่าในด้านพฤติกรรมคนทุกเพศที่มีความสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและเปลี่ยนคู่นอนหลายคน ล้วนเสี่ยงต่อเอชไอวีทั้งสิ้น แต่ในกลุ่มชายรักชาย จะเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้นจากมิติเชิงชีววิทยาเพราะช่องทวารหนักมีโครงสร้างที่เอื้อต่อการติดเชื้อมากกว่า
ช่องคลอด เนื่องจากเยื่อบุบริเวณนี้ค่อนข้างบาง ไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย นอกจากนี้ บริเวณทวารหนักยังมีเซลล์ CD4 เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเซลล์ที่เชื้อเอชไอวีชอบไปจับและใช้เป็นตัวนำทางเข้าสู่ร่างกาย
สิ่งที่ทำให้เอชไอวีอันตรายคือ หลายคนหลังจากติดเชื้อแล้วอาจไม่มีอาการเลย หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น เจ็บคอ มีไข้ ซึ่งจะหายเองได้ ทำให้ไม่เกิดข้อสงสัย"ผู้ติดเชื้อสามารถอยู่โดยไม่มีอาการเป็นเวลา 5-7 ปี หรือบางคนอาจเร็วกว่านั้น 1-2 ปี จนกระทั่งภูมิคุ้มกันถดถอยลงไปเรื่อยๆ"นพ.ประวัฒน์เตือนว่า เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำมาก จะเริ่มมีอาการไม่สบาย เบื่ออาหาร ผอมลง มีผื่นคัน ไข้ขึ้นตอนกลางคืน หรือติดเชื้อแปลกๆ เช่น เป็นงูสวัด วัณโรคในปอด ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่าเข้าสู่ระยะเอดส์แล้ว
ชวนสังคมเข้าใจใหม่ “กินยา PrEP ไม่เท่ากับใส่ถุงยาง”
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อยา PrEP และยา PEP แต่ยังไม่เข้าใจกลไกการทำงานของตัวยาโดยนพ.ประวัฒน์อธิบายว่า “ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis)เป็นยาป้องกันการติดเชื้อที่กินก่อนมีความเสี่ยง เหมาะสำหรับคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง มี 2 แบบ คือ Daily PrEP (กินทุกวัน) และ On-Demand PrEP (กินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-24 ชั่วโมง และหลังจากนั้นอีก 2 วัน) ส่วนยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis)เป็นยาที่กินหลังมีความเสี่ยงแล้ว ใช้เป็นเวลา 28 วัน ทั้งในบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วย HIV ทิ่ม และคนทั่วไปที่เสี่ยง ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า การกินยา PrEP ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องใส่ถุงยางแล้ว เพราะยาป้องกันเฉพาะเอชไอวี แต่ไม่ป้องกันโรคติดต่ออื่นๆ ที่อันตรายเหมือนกัน โดยการใช้ถุงยางร่วมกับ PrEP จะให้ประสิทธิภาพการป้องกันเอชไอวีได้98-99%แต่หากไม่ใช้ถุงยางประสิทธิภาพการป้องกันก็จะลดลง”
ซิฟิลิส ระบาดต่อเนื่อง ปล่อยไว้อันตรายถึงชีวิต
โรคซิฟิลิส(Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกำลังระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยง โรคนี้นับเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบเพราะอาจแฝงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานโดยไม่มีอาการโดยอาการของซิฟิลิส จะแตกต่างกันในแต่ละระยะระยะแรกมักมีแผลที่อวัยวะเพศที่ไม่เจ็บ ซึ่งจะหายเองได้ ทำให้หลายคนอาจไม่ได้สังเกตระยะที่ 2จะมีผื่นขึ้นทั้งตัว มีไข้หรือไม่มีก็ได้โดยเฉพาะผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของซิฟิลิสระยะที่ 3อาจมีอาการเช่น หูได้ยินน้อยลง หูดับ มองไม่ชัด หรือเชื้อขึ้นสมอง ซึ่งอันตรายมากซิฟิลิสสามารถลดการติดเชื้อซิฟิลิสได้หากสวมถุงยางอนามัย โดยตัวถุงยางต้องครอบคลุมบริเวณแผลนพ.ประวัฒน์เตือนว่า "ซิฟิลิสที่แฝงอยู่เป็นเวลานานสามารถทำให้เส้นเลือดสมองตีบ เกิดเป็นสมองขาดเลือดขึ้นมาตอนอายุมากขึ้นได้ แต่ข่าวดีคือซิฟิลิสสามารถรักษาหายได้ คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ HIV รักษาหายได้ง่าย แต่โรคซิฟิลิสในผู้ติดเชื้อ HIV ก็รักษาหายได้เหมือนกัน แต่อาจช้ากว่าคนปกติ"นพ.ประวัฒน์อธิบาย
“หนองใน”ผู้ชายมีอาการชัด-ผู้หญิงอาการซ่อน แต่อันตราย
หนองในแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หนองในแท้และหนองในเทียม ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียคนละชนิดกัน อาการในผู้หญิงมักมีอาการที่ "หลบๆ ซ่อนๆ" มากกว่าผู้ชาย โดยจะมีสิ่งคัดหลั่งออกมาจากช่องคลอดซึ่งมีลักษณะผิดปกติ เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองหรือสีขาวที่ไม่ใช่ตกขาวปกติ อาจมีอาการปัสสาวะแสบ รู้สึกเจ็บผิดปกติเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกตอนยังไม่ถึงรอบเดือน ในผู้ที่เป็นมานานอาจมีการปวดท้องหรือปวดท้องน้อยมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม หนองในในผู้หญิงบางคนอาจไม่มีอาการเลยความอันตรายของหนองในในผู้หญิงคือหากปล่อยไว้ไม่รักษา จะลามไปสู่การอักเสบเรื้อรังในช่องท้องน้อย มดลูกติดเชื้อ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย ส่วนผู้ชายมักมีอาการชัดเจนกว่าผู้หญิงทำให้เข้ารับการรักษาเร็วกว่า โดยจะมีอาการหนองไหลออกมาเมื่อปัสสาวะหรือปัสสาวะแล้วเจ็บแสบมาก บางคนอาจเจ็บอัณฑะ หรืออัณฑะบวมได้ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก อาจมีหนองที่ทวารหนัก และหากมี Oral Sex อาจมีอาการเจ็บคอ กลืนแล้วรู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกระคายเคืองในคอโดยหนองใน จะรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งจำเป็นต้องพาคู่นอนเข้ารับการรักษาด้วยกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำส่วนวิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง”
แพทย์ย้ำ “ชีวิตเรามีค่า” เลิกอายและมาหาหมอทันที เมื่อรู้ว่าเสี่ยง
นพ.ประวัฒน์ ให้ข้อคิดสำคัญว่า "แน่นอนว่าการป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือ Safe Sex ซึ่งต้องตกลงกันทุกฝ่าย บอกคู่นอนเราให้ใส่ถุงยางทุกครั้ง ไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจ เพราะป่วยไปไม่คุ้มกันอยู่แล้วเมื่อรู้ตัวว่ามีความเสี่ยง มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ต้องอย่าปล่อยไว้จนมีอาการรุนแรง การมาพบแพทย์เร็วจะช่วยให้รักษาได้ไวจนหายจากโรคได้ แต่หากปล่อยไว้จนเข้าระยะรุนแรง จะใช้ชีวิตยากขึ้น ไม่ต้องกลัวการพบแพทย์ ทุกสถานพยาบาลมีการปกป้องข้อมูลผู้ป่วยอย่างเข้มงวด หากอายแล้วไม่มาตรวจ พออาการรุนแรงและเจ็บป่วยไปจะไม่คุ้ม อยากย้ำว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป่วยได้ก็หายได้ควรพาคู่นอนมาตรวจและรักษาไปด้วยกันอย่าไปแคร์ความรู้สึกหรือสายตาคนอื่น ให้โฟกัสว่าต่อจากนี้ เราจะทำยังไงให้กลับมาแข็งแรง และใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในอนาคตจะดีที่สุด"
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
