รบ.เผยเปิดรับนทท.แบบไม่กักตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 3 ประเภท ยึดหลักคนไทยปลอดภัย
วันนี้( 23 ต.ค.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงหลักเกณฑ์การเปิดรับผู้เดินทางเข้าประเทศไทยแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ เริ่ม 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นการทยอยเปิดตามห้วงเวลาที่ชัดเจน ด้วยกลยุทธ์การเปิดประเทศอย่างปลอดภัย (Smart Entry) เน้นเฉพาะผู้ที่เดินทางเข้ามาทางอากาศ เบื้องต้น เพื่อสร้างประโยชน์ด้านเศรษฐกิจแก่ภาคธุรกิจ เอกชน ประชาชนควบคู่กับการกำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดยมีมาตรการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 45 ประเทศ + 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัด เงื่อนไขคือผู้ที่จะเดินทางจะต้องพำนักในประเทศที่กำหนดนั้น ๆ ต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ยกเว้นคนไทยหรือเดินทางออกจากประเทศไทย ซึ่งต้องมีการจองโรงแรม AQ 1 คืนระหว่างรอผลตรวจ RT-PCR
2. ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศไหนก็ได้ (กรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์ในกลุ่มที่แรก) โดยใช้หลักการเดียวกับโปรแกรมแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) และต้องเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง 17 จังหวัด (พื้นที่สีฟ้า) คือ ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มมีการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมงด้วยวิธี RT-PCR และมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 50,000 ยูเอสดอลลาร์ จองที่พัก 7 คืน ตามมาตรฐานและต้องเป็นโรงแรมที่อยู่ใน Sandbox area มีการตรวจหาเชื้อซ้ำในวันที่ 6 หรือ 7 สามารถเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ และเมื่อครบ 7 วันแล้ว จึงจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้
3. กรณีกลุ่มคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ประเภท เช่น คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือได้รับแล้วยังไม่ครบ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ภายใต้เงื่อนไขการกักกัน ในสถานที่ที่ทางราชการกำหนด ทั้งสถานกักกันโรคที่รัฐจัดให้ (SQ) สถานกักกันโรคทางเลือก (AHQ) ที่จัดการโดยเอกชน สถานกักกันโรคของหน่วยงานหรือองค์กร (OQ) และสถานที่กักกันในส่วนของโรงพยาบาล (HQ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งแต่ละกรณีจำเป็นต้องเข้ารับการกักตัวโดยจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน บางกลุ่มจะมีการกักตัว 7 -10 วัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า รัฐบาลและ ศบค. กำหนดโครงการเปิดประเทศแบบไม่กักตัว เริ่ม 1 พ.ย. นี้ สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยและสถานการณ์ทั่วโลกมีแนวโน้มคลี่คลายดีขึ้น โดยแบ่งออก เป็น 3 ช่วงระยะเวลาที่ชัดเจน คือ ระยะที่1 ช่วงวัน 1 - 30 พฤศจิกายน 64 (พื้นที่ 17 จังหวัดนำร่อง) ระยะที่ 2 ช่วงวัน 1 - 31 ธันวาคม (เมืองหลักหรือจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 15% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดและเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน)
และระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 มกราคม 65 (พื้นที่นำร่องด้านเศรษฐกิจ จังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน) ในแต่ละช่วงเวลา จะมีการปรับหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศและประเทศต้นทาง รวมทั้งยังมีการประเมินผลการเข้าราชอาณาจักรทุก 1-2 สัปดาห์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในของประเทศนั้น ๆ เพื่อเป็นการพิจารณาความเหมาะสมของประเทศต้นทางด้วย
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดในการเปิดประเทศ คือ การดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของคนในประเทศ โดยเน้นกำหนดประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ มีเกณฑ์การฉีดวัคซีนสูง นักท่องเที่ยวต้องได้รับวัคซีนและมีผลตรวจ RT-PCR ขณะเดียวกัน ก็ขอคนไทยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยการปฏิบัติตนเองตามมาตรการสาธารณสุข ดูแลตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) และทุกกิจการ/กิจกรรม ต้องยึดหลัก COVID-19 Free Setting เพราะขณะนี้ได้ผ่อนคลายมาตรการและไม่จำกัดการเดินทางแล้ว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการกลับมาใช้มาตรการควบคุมหรือล็อกดาวน์ เพราะจะทำให้พี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอีก มั่นใจทุกคนร่วมมือร่วมใจร่วมกันเดินหน้าประเทศไทย เพราะความสำเร็จในการเปิดประเทศขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน” นายธนกร กล่าว
ข้อมูลจาก เว็บรัฐบาล
ภาพจาก เว็บรัฐบาล