รีเซต

80 ล้านบาทต่อวัน! คนไทยสูญเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์

80 ล้านบาทต่อวัน! คนไทยสูญเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์
TNN ช่อง16
8 สิงหาคม 2567 ( 23:06 )
25

ข้อมูลจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ระบุว่า ช่วงเดือนมีนาคม 2565 ถึงมิถุนายน 2567 มีคนไทยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 575,500 คดี สร้างความเสียหายรวมกว่า 65,715 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 80 ล้านบาท โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยทำงานจนถึงผู้สูงอายุ อายุ 30-60 ปีขึ้นไป สูงถึง 248,800 คดี  กรณีล่าสุดที่สร้างความเสียหายอย่างหนักคือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อมโยงไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา หลอกเหยื่อสูญเสียไปกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหานี้มีความซับซ้อนและเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีและความร่วมมือระหว่างประเทศ


รูปแบบการหลอกลวง 

มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐหรือเอกชน เช่น เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือพนักงานขนส่ง แล้วหลอกว่าเหยื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความผิดต่างๆ เช่น ฟอกเงิน ค้ายาเสพติด หรือติดหนี้บัตรเครดิต จากนั้นจะสร้างสถานการณ์ให้เหยื่อตื่นตระหนก ต้องโอนเงินมาพิสูจน์ตัวเอง หรือโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา วิธีการอื่นๆ ได้แก่ การหลอกว่าได้รับเงินคืนภาษี รางวัล หรือโชคลาภ การแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อขอข้อมูลส่วนตัว รวมถึงการหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมเพื่อขโมยเงินในบัญชี 


กลุ่มเป้าหมาย

ผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่ถูกมิจฉาชีพล่อลวงได้ง่าย เนื่องจากขาดความรู้เรื่องภัยออนไลน์และมีความไว้เนื้อเชื่อใจสูง อีกกลุ่มคือผู้ที่กำลังเผชิญความยากลำบากทางการเงินหรือมีความหวังที่จะได้เงินก้อนโต ซึ่งมักจะมีแนวโน้มที่จะหลงเชื่อข้อเสนอแบบสุ่มเสี่ยงได้ง่ายกว่า


ผลกระทบ

นอกจากจะสูญเสียเงินจำนวนมากแล้ว เหยื่อยังต้องเผชิญกับผลกระทบทางจิตใจ ครอบครัว และความสัมพันธ์อีกด้วย บางคนเกิดความเครียด ซึมเศร้า และอับอาย จนไม่กล้าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในระยะยาว นอกจากนี้การถูกหลอกลวงยังสามารถสร้างความแตกแยกในครอบครัวและลดความเชื่อมั่นต่อสังคมอีกด้วย


ความพยายามในการแก้ไขปัญหา

ภาครัฐได้ร่วมมือกับทุกฝ่ายในการป้องกันและปราบปรามอย่างเข้มข้น มาตรการสำคัญได้แก่:

- การประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ 

- การควบคุมการขายซิมการ์ด และกำหนดให้ผู้ใช้บริการยืนยันตัวตนเมื่อมีซิมเกินจำนวนที่กำหนด

- การสั่งระงับซิมและเบอร์ที่ร้องเรียนหรือพบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

- การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษหนักกับผู้ยินยอมให้ผู้อื่นนำซิมของตนไปใช้ในทางผิด

- การพัฒนาระบบตรวจจับเบอร์หรือบัญชีที่น่าสงสัย


ภาคเอกชน เช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ก็ได้ให้ความร่วมมือในการบล็อกเบอร์มิจฉาชีพ เปิดช่องทางแจ้งเบาะแส พัฒนาแอปเช็คเบอร์ปลอม และสนับสนุนข้อมูลในการปราบปราม


สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาชนต้องมีความรู้และรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ หากได้รับสายจากเบอร์แปลกปลอม ให้วางสายทันทีและโทรกลับเข้าหมายเลขหลักขององค์กรนั้นโดยตรงเพื่อตรวจสอบ อย่าหลงเชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าหรือรีบโอนเงินให้ใคร จำไว้ว่าหน่วยงานจริงจะไม่โทรมาเรียกร้องเงินหรือขอข้อมูลส่วนตัวอย่างแน่นอน


พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. กล่าวว่า "ปัจจุบันคดีอาชญากรรมไซเบอร์มีรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปราบปราม และที่สำคัญต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะเพ่งเล็งไปที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับซิมม้าอย่างเด็ดขาด จะมีการแก้กฎหมายและใช้มาตรการบังคับใช้ที่เข้มข้นกว่าเดิม"


แก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ยังคงเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมไทย แม้ทุกฝ่ายจะมีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการป้องกันและปราบปราม แต่ประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญในการตัดวงจรอาชญากรรม โดยการรู้เท่าทันกลโกง ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ รู้จักตรวจสอบข้อมูลก่อนทำธุรกรรมใดๆ และไม่ละอายที่จะแจ้งความหากตกเป็นเหยื่อ โดยสังคมจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่ตำหนิหรือซ้ำเติมเหยื่ออีกด้วย


Call to action

ขอเชิญชวนผู้อ่านได้โปรดแชร์ประสบการณ์และบทความนี้ เพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในวงกว้าง พูดคุยกับคนใกล้ชิดโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงและวิธีป้องกัน ร่วมกันให้กำลังใจเหยื่อ และร่วมกันเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็น เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากภัยร้ายนี้



ภาพ Getty Images 

อ้างอิง ข้อมูลจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง