ส.นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยสิ้น Q1/68 ที่ 1,449 จุด สิ้นปีอยู่ที่ 1,556 จุด แนะ 4 หุ้นเด่น

#ทันหุ้น-นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 22 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนจำนวน 2 บริษัทและบริษัท โกลด์ฟิวเจอร์ส 2 บริษัท 

ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 42.31% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 1/68 มีแนวโน้มไปในทิศทางบวก ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 38.46% มอง่ามีแนวโน้ม Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 4/67 และมีเพียง 19.23% ที่มองไปในทิศทางลบ 

โดยปัจจัยหลักที่น่าจับตามองที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 1/68 ได้แก่การเข้ารับตำแหน่งและนโยบายของทรัมป์ ตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและการลงทุนของภาครัฐ 

คาดการณ์ค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยสิ้นไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 1,449 จุด เมื่อให้มองยาวไปจนถึงสิ้นปี 2568 ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้น ได้แก่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ผู้ตอบแบบสำรวจ 76.92% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลมาผู้ตอบ 73.08% โหวจให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหรือบจ. ตามด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีผู้ตอบ 57.69% 

ส่วนปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทย จนถึงสิ้นปี 2568 ได้แก่ปัจจัยด้าน Fund Flow จากต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย 74.07% รองลมาปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ 61.54% และการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบ 55.56%

และได้คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ของปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 94.95 บาท ส่วน EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 12.22% 

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2568 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,556 จุด 

**หุ้นเด่น 

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ 

1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้น โดยเติบโตไปตามการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งในปี 2567 ททท.คาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ 36 ล้านคน และปี 2568 คาดที่ 40 ล้านคน 

2.ADVANC มองว่าธุรกิจฟื้น ต้นทุนต่ำลง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ปลอดภัยจากนโยบายทรัมป์ และได้ประโยชน์จากกระแสดาต้าเซ็นเตอร์

3.BDMS ได้อานิสงส์จากสังคมสูงวัยที่จะใหญ่ขึ้น คาดกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติยังคงเติบโต 

4.CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ 

ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่หุ้นกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี