ปัจจัยหลักที่จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นประสบความสำเร็จ....คืออะไรกันแน่?
ในสายตาของผม ตลาดหุ้นถือเป็นดินแดนที่มีความยุติธรรมแห่งหนึ่งเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่หรือหน้าเก่า ก็ล้วนแล้วแต่จะต้องเคยได้รับบทเรียนการขาดทุนจากตลาดหุ้นมาแล้วทั้งนั้น แตกต่างกันแค่ว่าใครจะเจ็บหนักกว่าใคร ใครจะทนอยู่ได้นานกว่ากัน บางคนเข็ดขยาดกับตลาดหุ้นและออกปากเตือนต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานว่า “ตลาดหุ้นนั้นน่ากลัว อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเชียว” แต่กลับไม่มีใครบอกรายละเอียดได้ว่าตนเองเจ๊งจากตลาดหุ้นเพราะอะไร?
มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยมั่นใจว่าตัวเองหาความรู้มาพร้อมลุยเต็มที่แล้วแต่ก็ยังขาดทุน ซึ่งความรู้ที่ว่าหากไล่เป็นข้อๆ ก็จะได้ประมาณว่า
1.ถ้าจะลงทุนแนววีไอ ต้องนำเงินเย็นมาลงทุน / ต้องทนถือได้นาน / ต้องแกะงบฯเป็น / ต้องเข้าซื้อตอนไม่แพง แต่หากจะซื้อตอนแพงหุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราเติบโตในอนาคตที่ดี
2.ถ้าจะลงทุนแนวเทคนิค ต้องอ่านกราฟเป็น / ต้องรู้จัก indicator / ต้องมีวินัย Cutloss ได้ / ต้องไม่ overtrade .
อารมณ์คงไม่ต่างจากเรียนจบบริหารแต่พอออกมาทำธุรกิจก็กลับเจ๊ง สาเหตุเพราะ”รู้แต่ไม่เข้าใจ” หรือ “เข้าใจแต่ไม่รู้จริง” ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ขาดทุนก็เช่นกัน
ปัจจัยหลักๆ ในการลงทุนในตลาดหุ้นแล้วประสบความสำเร็จ คือ “ช่วงเวลา” หรือ “รอบวัฎจักรของตลาดหุ้น” ซึ่งหลายๆคนดูไม่ออก และก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะมองออก ยกตัวอย่างเช่น
“ถ้าจะลงทุนแนววีไอ” จริงๆแล้วมันจะต้องเป็นช่วงปลายขาลงของรอบใหญ่จริงๆ ซึ่งจะลงชนิดที่ว่าไม่มีใครมองออกว่าตลาดจะกลับขึ้นไปได้ยังไง ลงชนิดที่ว่าหุ้นราคาถูกแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้าซื้อ มีแค่เหตุผล 2 ข้อเท่านั้นที่จะทำให้กล้าซื้อหุ้น คือ 1.ธุรกิจนั้นๆต้องไม่ปิดตัวแน่นอน กับ 2.ราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริง ซึ่งถ้าเงื่อนไขที่ว่ามาครบถ้วนก็ซื้อหุ้นได้เลย จากนั้นจึงค่อยนำความรู้ที่คุณบอกว่าคุณเตรียมตัวมาหยิบมาใช้ คือ เงินที่จะซื้อต้องเป็นเงินเย็น / พอซื้อแล้วต้องทนถือนานๆ
แต่ที่นักลงทุนแนววีไอหลายคนเจ๊งก็เพราะว่า คุณไม่ได้ซื้อตอนตลาดเป็นขาลงจริงๆ แต่เป็นการซื้อตอนมันแค่ย่อตัว ซึ่งถ้าซื้อตอนย่อแล้วมันเด้งกลับตัวขึ้นก็โชคดีไป แล้วก็พาลคิดว่าวิธีตัวเองได้ผลเพราะซื้อถูกมาขายแพง แต่เนื่องจาก mindset ที่ผิด คราวนี้ก็เหลือแค่ว่าจะไปเจ๊งเมื่อไหร่ เพราะพอมันไม่ใช่การย่อเพื่อขึ้น แต่กลับเป็นการย่อที่เป็นต้นทางของแนวโน้มขาลง คราวนี้ล่ะครับยิ่งซื้อยิ่งลง และยังลงต่อได้อีกไกล ลงแบบไม่เห็นจุดจบ หายนะของวีไอ(เทียม)ก็มักจะจบลงในรูปแบบนี้
คราวนี้มาถึง “นักลงทุนสายเทคนิค” ต่อให้มีวินัยพร้อมที่จะทำตามสัญญาณกราฟ / ยอม Cutloss เป็น / เข้าใจใน indicator แต่ถ้าไม่เข้าใจในรอบวัฎจักรของตลาดก็เจ๊งอยู่ดี เพราะมันจะมีช่วงที่ตลาด sideway ซึ่งช่วงนั้น indicator จะให้สัญญาณทั้งซื้อและขายถี่ไปหมด ขืนทำตามสัญญาณทุกครั้ง รับรองเลยว่า ไม่หมดเงินก็หมดใจ
ส่วนที่ว่าจะแก้ปัญหาโดยการใช้ indicator ที่ให้สัญญาณห่างๆหน่อยนั้น ถ้าไม่ได้ไปเจอช่วงที่หุ้นวิ่งขึ้นอย่างรุ่งโรจน์แล้วล่ะก็ รับรองเลยว่าได้เข้าซื้อที่กลางทางขาขึ้น และขายออกตอนกลางทางขาลงแน่ ซึ่งพอถึงจุดนึงคุณจะเริ่มหมดความเชื่อถือในตัว indicator จากนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะละเลงมั่ว เข้าซื้อขายกันแบบมวยวัด สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ
สุดท้ายนี้ เรื่องของช่วงเวลา / TimeFrame นั้นถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอดในตลาดฯและถือเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากที่สุดด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณเข้าใจเรื่องของช่วงเวลาได้อย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ต้องบอกว่า
“เงินปลิวว่อนเต็มอากาศมีให้เห็นไปซะทุกที่เลยครับ”