โบรกฯ ส่องผลกระทบGLOBAL MINIMUM TAX ต่อ 9 หุ้นนำโดย DELTA-GULF-TU
#ทันหุ้น-ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า บประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลในไทย เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ขององค์กรเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ด้วยมาตรการ PILLAR 2 จัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าเกณฑ์ตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ(GLOBAL MINIMUM TAX) ในอัตรา 15% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไปนั้น ฝ่ายวิจัยสรุปบริษัทที่จดทะเบียนในตลท.ที่ศึกษา และมีฐานรายได้เข้าเกณฑ์มากกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีบริษัทที่อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง อย่างไรก็ตามพบว่าส่วนใหญ่ที่ EFFECTIVE TAX RATE ต่ ากว่า 15% เป็นเพราะการได้รับ BOIของธุรกิจในประเทศ ซึ่งน่าจะมีแนวทางแก้ไข หรือ ลดผลกระทบ
DELTA - ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ผ่านมา DELTA มีรายได้รวม 1.6 แสนล้านบาท และจ่ายภาษีที่อัตรา 2.4% เพราะได้รับการสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI และมีโรงงานหลักอยู่ในไทยที่กำลังจะเข้า OECD ซึ่งหากต้องปรับไปใช้ภาษี 15% ตามเกณฑ์ของ OECD จะทำให้ภาษีจ่ายจะเพิ่มขึ้น 12% - 13% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะได้รับการเยียวยา BOI
นอกจากนี ฝ่ายวิจัยได้ประเมินผลการดำเนินงานและมูลค่าหุ้น DELTA อย่างอนุรักษ์นิยม โดยกำหนดให้จ่ายอัตราภาษีที่ 15% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปในประมาณการแล้ว
TU - ปี 2566 รายได้ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.36 แสนล้านบาท และ 9 เดือนแรกปี 2567 รวม 1.03 แสนล้านบาท ขณะที่ทั้งกลุ่มเสียภาษี หรือ (EFFECTIVE TAX RATE) 9 เดือนแรกปี 2567 อยู่ที่ 7.6% ต่ำกว่า GMT ที่ 15% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้สิทธิทางภาษีBOI ในไทย ทำให้ภาษีธุรกิจในไทยอยู่ระดับต่ำ ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลกับทางบริษัทเบื้องต้น แจ้งว่าตอนนี้อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ และรอความชัดเจนของภาครัฐ รวมถึงแนวทางการช่วยเหลือของ BOI ก่อน อย่างไรก็ดีหากประเมินผลกระทบภายใต้กรณีภาษีขึ้นเป็น 15% และองค์ประกอบอื่นคงที่ในปี 2568 (จากสมมติฐานของฝ่ายวิจัยกำหนดอัตราภาษีในประมาณการระดับ 7%) คาดส่งผลให้กำไรปี 2568 ลดลงราว 10%
GULF - มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือสหรัฐฯ และ เยอรมนีในปี 2566 โดยในงวด 9 เดือนแรกปี 2567 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 3.1% และ 2.6% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15% เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 1.3% คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 13.4% มาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท
BPP - มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือสหรัฐฯ โดยปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 5.9% และ 9.5% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15% เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 6.6% คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 9.0% มาอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท
EGCO - มีการลงทุนในกลุ่ม OECD คือสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 8.3% และ 14.1% ตามลำดับ เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากประมาณการเดิมที่ 11.4%คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 4.1% มาอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท
BGRIM - มีการรับรู้รายได้รวมจากในประเทศไทย และต่างประเทศ เข้าเกณฑ์เกิน 2.6 หมื่นล้านบาท/ปี และมีการลงทุนในประเทศสมาชิก OECD เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้นโดยในปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 8.1% และ 16.0% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในประมาณการปี 2568 ของฝ่ายวิจัยเบื้องต้นกำหนดสมมติฐานอัตราภาษีของ BGRIM ที่ 7.3% ซึ่งหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ที่ 15% คาดจะส่งผลกระทบต่อกำไรปี 2568 ให้ลดลง 8.3% จากเดิมมาอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท
GPSC - มี EFFECTIVE TAX RATE ปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ 9.5% และ 1.4%ตามลำดับ อย่างไรก็ตามในประมารการปี 2568 ของฝ่ายวิจัย ได้กำหนดให้มีEFFECTIVE TAX RATE เกินเกณฑ์ 15% แล้ว จึงคาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อประมาณการกำไรใน ปัจจุบันของ GPSC
RATCH - มี EFFECTIVE TAX RATE ปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 ที่ 13.6% และ 11.6% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามในประมารการปี 2568 ของฝ่ายวิจัย ได้กำหนดให้มี EFFECTIVE TAX RATE เกินเกณฑ์ 15% แล้ว จึงคาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อประมาณการกำไรในปัจจุบัน
RCL - มีการลงทุนในกลุ่มประเทศ OECD คือ มีสำนักงานตัวแทนในเกาหลีใต้ , ปี 2566 และ 9 เดือนแรกปี 2567 มี EFFECTIVE TAX RATE ที่ 7% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่า GMT ที่ 15%, เบื้องต้นหากปรับปรุงอัตราภาษีใหม่ในปี 2568 ขึ้นมา อยู่ที่ 15% คาดจะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2568 ลดลงจากเดิมราว 5.5% มาอยู่ที่ 2.69 พันล้านบาท