แนะนำ กล้องโพลารอยด์ รุ่นใหม่น่าใช้ในปี 2025
แม้ว่าตลาดกล้องถ่ายภาพจะก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้ใช้บางกลุ่มที่ยังชอบเสพความคลาสสิคของการถ่ายภาพแบบเรโทร เช่นกล้องโพลารอยด์ ที่ถ่ายปุ๊ปได้ภาพปั๊ป พิมพ์ภาพได้ทันที และในปี 2025 นี้ก็ยังมีหลายรุ่นที่เปิดตัว และเป็นที่นิยม วันนี้ TrueID เรารวบรวมรุ่นทีน่าสนใจมาให้แล้วครับ ลองไปติดตามกันได้เลย
Polaroid Flip: ย้อนยุคสุดคลาสสิก พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยในกล้องอินสแตนท์!
เตรียมตัวให้พร้อมกับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในรูปแบบที่ทุกคนคุ้นเคย! Polaroid Flip กล้องอินสแตนท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในช่วงกลางปี 2025 สร้างความฮือฮาด้วยดีไซน์แบบฝาพับสุดไอคอนิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องรุ่นคลาสสิกอย่าง Polaroid OneStep 600 แต่สิ่งที่ทำให้ Flip แตกต่างและโดดเด่นจากกล้องโพลารอยด์รุ่นอื่น ๆ และคู่แข่งในตลาดคือการอัดแน่นเทคโนโลยีที่ทำให้การถ่ายภาพง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น มันคือกล้อง "Point-and-Shoot" ที่ดีที่สุด ด้วยจุดขายหลักคือ ระบบเลนส์ 4 โซนไฮเปอร์โฟกัสอัตโนมัติ (Auto-switching Hyperfocal 4-lens system) ทำงานร่วมกับ ระบบ Sonar Autofocus ที่จะช่วยวัดระยะวัตถุและปรับโฟกัสให้คมชัดโดยอัตโนมัติในทุกระยะ ตั้งแต่ใกล้ 40 ซม. จนถึงอินฟินิตี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งทำได้ยากในกล้องอินสแตนท์!
นอกจากความคมชัดแล้ว Polaroid Flip ยังเหนือกว่าด้วย แฟลชในตัวที่ทรงพลังที่สุด เท่าที่ Polaroid เคยมีมา พร้อมระบบ วิเคราะห์ฉากอัตโนมัติ ที่จะช่วยเตือนเมื่อภาพมีแสงมากหรือน้อยเกินไป ทำให้โอกาสถ่ายเสียมีน้อยลงมาก แถมยังคงรักษาเสน่ห์แบบแอนะล็อกไว้เต็มเปี่ยมด้วยการใช้ฟิล์ม Polaroid i-Type และ 600 ขนาดเต็มแบบคลาสสิก ที่สำคัญคือ มันไม่ได้เป็นแค่กล้อง แต่เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth กับ Polaroid App เพื่อปลดล็อกโหมดสร้างสรรค์ที่ค่ายอื่นไม่มีให้ เช่น การตั้งค่าแบบแมนนวล (Manual Control) การถ่ายภาพซ้อน (Double Exposure) หรือโหมด Bulb ถ่าย Long Exposure ได้ยาวนานถึง 99 ชั่วโมง ซึ่งยกระดับให้ Flip เป็นมากกว่ากล้องโพลารอยด์ธรรมดา ราคาเปิดตัวของ Polaroid Flip ในไทยอยู่ที่ประมาณ 8,390 บาท ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคนรักโพลารอยด์ที่ต้องการทั้งสไตล์คลาสสิกและฟีเจอร์สมัยใหม่ครบเครื่อง!
Fujifilm instax WIDE Evo: ผสานความคลาสสิกของฟิล์ม WIDE เข้ากับความสนุกแบบดิจิทัล!
Fujifilm ได้เปิดตัวกล้องอินสแตนท์สุดไฮบริด instax WIDE Evo ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ด้วยราคาเปิดตัว 12,990 บาท สำหรับใครที่หลงใหลในภาพถ่ายขนาดใหญ่แบบ instax WIDE แต่ก็อยากได้ความยืดหยุ่นในการเลือกรูปก่อนพิมพ์ เจ้าตัวนี้คือคำตอบ! จุดเด่นที่สุดคือการเป็น กล้องอินสแตนท์ไฮบริด หรือ "2 in 1" ที่ไม่เหมือนใครในซีรีส์ WIDE เพราะช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพและเลือกพิมพ์เฉพาะรูปที่ถูกใจ หรือจะใช้เป็น "สมาร์ทโฟนปริ้นเตอร์" พิมพ์รูปจากมือถือก็ได้เช่นกัน ทำให้ไม่เปลืองฟิล์มไปกับรูปที่พลาดอย่างแน่นอน และสิ่งที่ทำให้กล้องรุ่นนี้แตกต่างจากกล้องอินสแตนท์ทั่วไปของค่ายอื่นคือการให้คุณ "สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ" ได้อย่างเต็มที่ด้วย 10 เอฟเฟกต์เลนส์ และ 10 เอฟเฟกต์ฟิล์ม พร้อม 6 รูปแบบฟิล์ม ที่สำคัญคือสามารถ ปรับระดับเอฟเฟกต์ ได้ถึง 100 รูปแบบ ทำให้ภาพที่ได้ไม่ซ้ำใคร มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวสูงมาก ๆ
ด้วยคอนเซ็ปต์ “An Analog Spirit within a Digital System” กล้อง instax WIDE Evo จึงกลายเป็นจุดขายที่โดดเด่นและแตกต่าง โดยผสานความเป็นกล้องดิจิทัลที่มาพร้อม เลนส์มุมกว้าง (Wide) ที่ช่วยเก็บภาพบรรยากาศได้เต็มตา และมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/3 นิ้ว ความละเอียดสูง พร้อมช่องใส่ Micro SD Card ทำให้สามารถบันทึกภาพดิจิทัลเอาไว้ก่อนได้ ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ออกมาเป็นภาพฟิล์มขนาด WIDE ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของฟิล์ม Mini ธรรมดา นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สนุกๆ อย่างการเชื่อมต่อ Bluetooth ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อแชร์การตั้งค่าเอฟเฟกต์สุดโปรดกับเพื่อนๆ หรือดาวน์โหลดการตั้งค่าจากคนอื่นมาใช้ได้เลยทันที นี่คือสิ่งที่กล้องอินสแตนท์รุ่นอื่นทำไม่ได้ ทำให้ WIDE Evo เป็นมากกว่าแค่กล้องถ่ายแล้วพิมพ์ แต่เป็นอุปกรณ์ที่ให้เราสนุกกับการสร้างสรรค์และแชร์ภาพถ่ายได้อย่างไร้ขีดจำกัด!
Leica SOFORT 2: กล้องอินสแตนท์ไฮบริดที่มาพร้อมความหรูหราเหนือกาลเวลา
เตรียมตัวเป็นเจ้าของภาพถ่ายสุดชิคที่มีลายเซ็นต์ของ Leica ได้เลย! กล้อง Leica SOFORT 2 เป็นกล้องอินสแตนท์ไฮบริดที่ผสมผสานความคลาสสิกของแบรนด์เข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว โดยกล้องรุ่นนี้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ พฤศจิกายน 2566 ด้วยราคาเปิดตัวที่ 22,900 บาท (ราคาอาจแตกต่างกันตามร้านค้า) สิ่งที่ทำให้ SOFORT 2 โดดเด่นและแตกต่างจากกล้องอินสแตนท์ทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจนคือ "ดีไซน์ที่ประณีตและมินิมัลลิสต์" ตามแบบฉบับของ Leica ที่มาพร้อมเลนส์คุณภาพสูงอย่าง Leica Summar 1:2/2.4mm (เทียบเท่า 28 มม. ในกล้องฟิล์ม 35 มม.) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ ทำให้ภาพที่ได้มีมิติและคุณภาพที่เหนือกว่า กล้องตัวนี้ไม่ใช่แค่กล้องถ่ายรูป แต่เป็นแฟชั่นไอเทมที่สะท้อนรสนิยมอันหรูหราของผู้ใช้ และเป็นกล้อง "Hybrid Instant Camera" ที่ให้คุณเลือกถ่ายภาพดิจิทัลก่อนแล้วค่อยเลือกพิมพ์เฉพาะรูปที่สมบูรณ์แบบออกมาเป็นภาพฟิล์มขนาด Mini ทำให้คุณไม่พลาดทุกช็อตสำคัญและไม่ต้องกังวลเรื่องการสิ้นเปลืองฟิล์ม
จุดขายสำคัญของ Leica SOFORT 2 คือการมอบความยืดหยุ่นและอิสระในการสร้างสรรค์ที่กล้องอินสแตนท์อื่นไม่มี ด้วยฟีเจอร์พิเศษอย่าง "Film Style" 10 รูปแบบ และ "Lens Effects" 10 รูปแบบ ที่ให้คุณสนุกกับการปรับแต่งภาพให้มีโทนสีและเอฟเฟกต์ที่หลากหลายตามสไตล์ของ Leica เอง ไม่ว่าจะเป็น Vignette, Soft Focus หรือ Double Exposure ที่สร้างสรรค์ได้ง่ายๆ ผ่านการใช้งานกล้อง สิ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งคือความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Leica FOTOS ซึ่งช่วยให้คุณสามารถโอนภาพจากกล้อง Leica รุ่นอื่นๆ เข้ามาใน SOFORT 2 เพื่อสั่งพิมพ์เป็นภาพฟิล์มได้ทันที และยังสามารถเลือกภาพจากสมาร์ทโฟนมาพิมพ์ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้ SOFORT 2 ทำหน้าที่เป็นเหมือน "เครื่องพิมพ์พกพา" สุดหรูที่เชื่อมโยงรูปถ่ายจากทุกอุปกรณ์ของ Leica เข้าด้วยกัน มอบประสบการณ์ถ่ายภาพและพิมพ์ภาพสำเร็จรูปที่ไม่ใช่แค่สนุก แต่ยังยกระดับคุณภาพของภาพถ่ายอินสแตนท์ให้มีกลิ่นอายของภาพถ่าย Leica อย่างแท้จริง
Fujifilm Instax Mini 99: กล้องอนาล็อกสุดพรีเมียม ปลดปล่อยพลังแห่งสีสันอย่างอิสระ!
เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับยุคใหม่ของกล้องอินสแตนท์แบบอนาล็อกระดับไฮเอนด์! Fujifilm ได้เปิดตัว Instax Mini 99 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเดือน เมษายน 2567 ด้วยราคาเปิดตัว 7,290 บาท กล้องรุ่นนี้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากกล้อง Instax Mini รุ่นอื่นๆ ด้วยการมุ่งเน้นที่การควบคุมแบบ "อนาล็อกแท้ๆ" แต่มีฟีเจอร์ที่ยกระดับความสร้างสรรค์ไปอีกขั้น จุดเด่นที่สุดคือระบบ Color Effect Control ที่แตกต่างจากกล้องดิจิทัลไฮบริดทั่วไป เพราะ Mini 99 ใช้ ไฟ LED สี่ดวง ที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวกล้องเพื่อส่องแสงสีต่างๆ ลงบนฟิล์มโดยตรงในขณะที่ถ่ายภาพ ทำให้เกิดเอฟเฟกต์สีถึง 6 โทน เช่น Warm Tone, Light Blue หรือ Sepia ที่ให้ฟีลลิ่งแบบฟิล์มจริงๆ ไม่ใช่แค่การใส่ฟิลเตอร์ดิจิทัล! นอกจากนี้ยังมาพร้อมปุ่มหมุนปรับความสว่าง (Brightness Control) และวงแหวนปรับระยะโฟกัส (Focus Dial) ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและให้ความรู้สึกพรีเมียมตามแบบฉบับกล้องคลาสสิก ทำให้ผู้ใช้สามารถ "เล่นกับแสงและสี" ของภาพได้ด้วยมือตัวเองอย่างเต็มที่
สิ่งที่ทำให้ Instax Mini 99 แตกต่างจากคู่แข่งและรุ่นก่อนๆ คือการนำฟังก์ชันที่ปกติมีในกล้องฟิล์มระดับสูงมาไว้ในกล้องอินสแตนท์อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โหมดวิกเนต (Vignette Switch) ที่สามารถควบคุมการเพิ่มขอบดำเพื่อเน้นจุดสนใจกลางภาพได้ด้วยมือ, โหมดหลอดไฟ (Bulb Mode) ที่สามารถเปิดชัตเตอร์ค้างได้นานสูงสุด 10 วินาทีเพื่อถ่ายภาพในเวลากลางคืนหรือสร้างสรรค์ภาพวาดแสง (Light Painting), และ โหมดถ่ายภาพซ้อน (Double Exposure) เพื่อรวมสองภาพเข้าด้วยกันอย่างง่ายดาย ตัวกล้องถูกออกแบบด้วยพื้นผิวคล้ายหนังด้าน (Matte Texture) และการเคลือบสีแบบ Hammertone ที่มอบสัมผัสระดับพรีเมียมและรูปลักษณ์แบบคลาสสิกที่สวยงามลงตัว นอกจากนี้ยังมีปุ่มชัตเตอร์สองปุ่มสำหรับถ่ายภาพแนวตั้งและแนวนอน และมีจุดยึดขาตั้งกล้อง ทำให้ Mini 99 เป็นกล้องอินสแตนท์ฟอร์แมต Mini ที่มอบอิสระในการสร้างสรรค์และคุณภาพของภาพถ่ายแบบอนาล็อกที่เหนือกว่าใครในตลาดได้อย่างแท้จริงครับ