รีเซต

SMEs ปิด 20,000 ราย โรงงาน "เจ๊ง" 1,200 แห่ง "เด็กจบใหม่" ไม่มีใครจ้าง?

SMEs ปิด 20,000 ราย โรงงาน "เจ๊ง" 1,200 แห่ง "เด็กจบใหม่" ไม่มีใครจ้าง?
TNN ช่อง16
16 มิถุนายน 2568 ( 08:00 )
36

นายจ้างไม่อยากได้ "เด็กจบใหม่"

บอกว่าไร้ประสบการณ์ ขาดทักษะที่จำเป็น

แล้วคนเพิ่งเรียนจบจะหาประสบการณ์ได้จากไหน?


พ่อแม่ฟังแล้วข่าวนี้แล้วอาจจะหนักใจ

หลายคนยอมลำบากเก็บเงินยืมเงินเอามาลงทุนส่งลูกหลานเรียนสูงๆ 

แต่จบมาสุดท้ายแล้ว ทำไมหางานทำไม่ได้ เตะฝุ่นไปวันๆ 

ความผิดอาจจะไม่ใช่ว่าตัวเด็กจบใหม่นั้นไม่เก่งหรือไม่ดีพอ

แต่นี่คือ ปัญหาใหญ่ของบ้านเรา ณ ตอนนี้ และอีกหลายประเทศทั่วโลก

นั่น คือ นายจ้างไม่ค่อยอยากได้เด็กรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ 


ข้อมูลล่าสุดจากทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

จากการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกประจำปีนี้ 2568

พบว่าสถานการณ์แรงงานมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง

นั่น คือ ตลาดแรงงานสำหรับเด็กจบใหม่ หรือคนที่เรียนจบสูงๆ

แล้วกำลังหางานทำเป็นงานแรกในชีวิต

หรือ First jobber ปัจจุบันนี้มีมีความเสี่ยงตกงานสูงมาก


และที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ยิ่งเรียนสูง การศึกษาสูง ก็ยิ่งหางานทำไม่ได้ 

เพราะสภาพัฒน์พบว่ากลุ่มคนที่ว่างงานหรือตกงานมากที่สุดในบ้านเราตอนนี้

ก็คือ แรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นไป หรือระดับปริญญา

มีอัตราว่างงาน ‘สูงที่สุด’ แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วย 


โดยคนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาและยังว่างงานอยู่ตอนนี้มีทั้งหมด 131,600 คน

ส่วนการศึกษาในระดับอื่นๆนั้นมีการว่างงานอยู่ในหลักหมื่นเท่านั้น 

ตั้งแต่ 


อุดมศึกษา ว่างงานจำนวน 1.316 แสนคน (อัตราว่างงาน 1.84%)

วิชาชีพขั้นสูง ว่างงานจำนวน 3.18 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.31%)

อาชีวศึกษา ว่างงานจำนวน 2.08 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.28%)

มัธยมปลาย ว่างงานจำนวน 6.15 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.94%)

มัธยมต้น ว่างงานจำนวน 5.60 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.76%)

 ประถมและต่ำกว่า ว่างงานจำนวน 5.62 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.37%)


ส่วนคนที่ว่างงานระยะยาว หรือว่าเตะฝุ่นตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป

ส่วนใหญ่หรือ 69.8% อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี

และเมื่อพิจารณาประสบการณ์การทำงานพบว่าส่วนใหญ่

คนในกลุ่มนี้ หรือมากถึง 74.3% ของผู้ว่างงานระยะยาว 

ไม่เคยทำงานมาก่อนเลย

และที่ต้องว่างงาน ก็เพราะหางานไม่ได้ ไม่มีใครรับ ไม่มีใครยอมจ้าง 


สถานการณ์ผู้ว่างงานระยะยาว แยกตามกลุ่มอายุในไตรมาส 1 ปี 2568

อายุ 15-19 ปี: จำนวน 3,703 คน (อัตราว่างงาน 0.75%)

อายุ 20-24 ปี: จำนวน 30,052 คน (อัตราว่างงาน 0.94%)

อายุ 25-29 ปี: จำนวน 17,559 คน (อัตราว่างงาน 0.38%)

อายุ 30-34 ปี: จำนวน 7,746 คน (อัตราว่างงาน 0.17%)

อายุ 35-39 ปี: จำนวน  3,278 คน (อัตราว่างงาน 0.08%)

อายุ 40-49 ปี: จำนวน 4,664  คน (อัตราว่างงาน 0.05%)

อายุ 50-59 ปี: จำนวน 1,130 คน (อัตราว่างงาน 0.05%)

อายุ 60 ปีขึ้นไป: จำนวน 97 คน (อัตราว่างงาน 0.00%)


จบใหม่ จบสูง เท่ากับตกงานเยอะสุด

สอดคล้องกับผลสำรวจที่ไปเจอว่า

นายจ้างหรือผู้บริหารส่วนใหญ่ยุคนี้ กว่า 89 % 

ไม่อยากได้เด็กจบใหม่ เพราะแม้จะไฟแรง แต่ก็ไม่ยังไม่มีประสบการณ์

ขาดทักษะที่จำเป็น แถมไม่มีมารยาททางธุรกิจด้วย 

เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ นายดนุชา พิชยนันท์  กล่าวถึงสถานการณ์เสี่ยงของเด็กจบใหม่

ในประเทศไทยวันนี้ว่า สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Hult International Business School 

 ที่ร่วมกับ Workplace Intelligence ซึ่งได้ไปทำการสำรวจผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล ในสหรัฐอเมริกา 

พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ ส่วนมาก ถึง 89% 

มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ 

โดยเหตุผลหลักๆที่ให้ก็คือ 

มองว่าเด็กจบใหม่ยังขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง 60% 

ไม่ทีทักษะการทำงานที่เหมาะสม 51% 

 ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม 55%

มองว่าเด็กจบใหม่ยังมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก 50%


และเมื่อนายจ้างไม่สนใจเด็กจบใหม่ ก็จะหันไปเลือกจ้างฟรีแลนซ์

หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือยอมปล่อยให้ตำแหน่งว่างไปเลยด้วยซ้ำ


ดังนั้น เพื่อให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน แรงงานจบใหม่

 จึงควรเตรียมความพร้อมตนเองให้เหมาะสม ทั้งในด้านทักษะที่จำเป็นต่อสายงานและทัศนคติต่อโลกการทำงาน 

ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด 

รวมถึงส่งเสริมการฝึกงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริงให้แก่นักศึกษา


ทั้งนี้เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ยังได้ให้ข้อแนะนำสำหรับน้องๆที่จบการศึกษาใหม่ในเวลานี้ 

เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางาน โดยระบุว่า  

เด็กจบใหม่ต้องมีคุณสมบัติหลัก คือ มีความสามารถในเชิงวิชาชีพที่จบมาต้องทำงานได้

นอกจากนั้นต้องมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ และความสร้างสรรค์ในการทำงานของตัวเอง

ขณะเดียวกันการทำงานของคนรุ่นใหม่มักจะให้ความสำคัญกับ “Work life balance”

แต่ในความเป็นจริงหากคนรุ่นใหม่ที่เข้าไปทำงานในที่ต่างๆ นั้น

การจัดการเรื่อง Work life balance อาจจะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงแรก 

ต้องเข้าใจต้อง Work ก่อน แล้วเรื่อง balance อาจจะตามทีหลัง

รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการทำงานก็นับเป็นเรื่องหนึ่งที่จำเป็น 

เพราะหากผู้บริหารต้องการงานที่เร่งด่วนเข้ามาก็ต้องมาช่วยกันทำ เพื่อให้งานบรรลุไปได้

ซึ่งต้องคำนึงถึงการทำงานในภาพรวมด้วย

ซึ่งในกรณีที่อยากเป็นเจ้าของกิจการอาจจะต่างกันออกไป 

แต่สำหรับกลุ่มที่จะเข้าไปทำงานในระบบ เข้าสู่การจ้างงานในองค์กร และบริษัทต่างๆนั้น

ต้องเข้าใจว่าการทำงานจริง เรารับเงินเดือนเขามาแล้ว การทำงานจริงก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่

 

รวมไปถึงทักษะการทำงานเป็นทีมก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง 

โดยเฉพาะการสื่อสารกับคน และมารยาททางธุรกิจในการติดต่อก็เป็นเรื่องสำคัญ 

นับเป็นเรื่องซอฟต์สกิลที่ต้องฝึกฝน

"งาน" หายากสำหรับทุกคน มีงานอยู่แล้วก็ไม่ได้แปลว่า "ปลอดภัย"

 

 วันนี้ งานหายากขึ้นเรื่อยๆ 

ไม่ใช่แค่เด็กจบใหม่เท่านั้นที่เจอความเสี่ยง

เพราะว่าปีที่ผ่านมา พบว่านายจ้าง ทั้ง SMEs และโรงงานในบ้านเรา

ต่างพากันปิดกิจการหรือว่าเจ๊งกันไปแล้ว 

กว่า 2 หมื่นแห่ง มากกว่า 1 พัน 200 โรงงาน    


การจ้างงาน หรือ สถานการณ์แรงงานไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 

พบว่ามีผู้มีงานทำรวม 39.4 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.5% 

โดยแรงงานภาคเกษตรยังคงมีการจ้างงานในระดับคงที่ 

ส่วนแรงงานนอกภาคเกษตร เช่น การผลิต โรงแรม ร้านอาหาร และค้าปลีก มีการจ้างงานลดลง


แม้การท่องเที่ยวจะยังมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การจ้างงานในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว 

เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ยังคงลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มฟรีแลนซ์ หรือ แรงงานชั่วคราว 

ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 40.8 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาหรือโอที ลดลงไป  5.0% 


นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานที่อยู่ในภาวะต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งทำงานไม่เต็มเวลา 

หรืองานไม่สอดคล้องกับความสามารถ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 

โดยเฉพาะในภาคการค้าและบริการ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว


ทั้งนี้สำหรับภาคธุรกิจย้ำกว่าจำเป็นต้องปรับตัวโดยเร่งด่วน

โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีจ้างงานสูง 

โดยปี 2567 ที่ผ่านมามี SMEs ในไทยปิดกิจการไปแล้วกว่า 2 หมื่น 4 พันแห่ง 

และโรงงานปิดกิจการ 1,234 แห่ง ทำให้กระทบการจ้างงาน

ขณะที่สถานการณ์ในอนาคตเองก็ยังเสี่ยงสูง

ตอนนี้สถาบันการเงินของรัฐ ได้มีมาตรการเข้าไปช่วย 

โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่ได้รับผลจากมาตรการสหรัฐฯ 

เพื่อให้ SMEs ยังดำเนินกิจการอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องปิดโรงงาน


ซึ่งทางสภาพัฒน์ชี้ว่าประเด็นสำคัญที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ

คือ การยกระดับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในกลุ่ม SMEs

โดยข้อมูลจากรายงาน Thailand Economic Monitor February 2025 ของธนาคารโลก พบว่า 

ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 

โดยมีการนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพียง 11.9% 

น้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีสัดส่วน 40.9% เวียดนาม 37.9% และมาเลเซีย 37.3%

 อีกทั้ง SMEs ไทยยังมีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่ค่อนข้างต่ำ 

ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน

เพื่อเพิ่มโอกาสในการยกระดับกระบวนการผลิต

 โดยปัจจุบัน SMEs รองรับแรงงานไว้กว่า 12.9 ล้านคน

ซึ่งหากสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้

จะส่งผลดีต่อสถานะการจ้างงานและรายได้ของแรงงานด้วย


เด็กจบใหม่หางานยากเรื่องจริง ไม่ได้คิดไปเองแล้ว 

ส่วนคนที่มีงานแล้วก็ใช่ว่าเราจะเอาตัวรอดได้ตลอดไป

ในภาวะแบบนี้ หลายคนชอบบอกว่ามีงานแล้วควรกอดงานเอาไว้ให้แน่น 

เพราะจะโดนเลิกจ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้?

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง