รีเซต

หมอกระดูก เตือนอาการบาดเจ็บ และการรักษาที่ “นักวิ่ง” ควรรู้

หมอกระดูก เตือนอาการบาดเจ็บ และการรักษาที่ “นักวิ่ง” ควรรู้
TNN Health
1 พฤศจิกายน 2564 ( 12:35 )
102
ปัจจุบันหลายคนหันมาวิ่งเพื่อสร้างเป้าหมายในชีวิต แต่ละคนก็มีเป้าหมายที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งสําคัญที่นักวิ่งควรใส่ใจไม่แพ้ระยะทางที่ต้องพิชิต และการลดน้ำหนักควบคุมรูปร่าง คือการป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการรักษาทางการแพทย์ในกรณีได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
.
รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์ แพทย์ออร์โธปิดิกส์ และประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงอาการบาดเจ็บที่มักพบบ่อยในนักวิ่งก็ คือ อาการบาดเจ็บบริเวณเข่าด้านนอก(Iliotibial Band Friction Syndrome) เกิดจากการเสียดสีของแถบเอ็นกล้ามเนื้อต้นขาด้านข้างกับปุ่มกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มระยะทางและความรุนแรง ของการวิ่งอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ
.
อาการนี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการนอนหงายและพับเข่าไปด้านข้าง รวมถึงการหมั่นยืดกล้ามเนื้อ และควรเผื่อเวลาในการฝึกซ้อมร่างกายก่อนลงสนามจริง โดยเฉพาะผู้ที่เคยวิ่งระยะสั้นๆ ไม่เกิน 5 กิโลเมตร และหากต้องการเพิ่มระยะทางการวิ่งขึ้นเป็น 20 กิโลเมตร (Half Marathon) ควรมีเวลาฝึกซ้อมอย่างน้อยประมาณ 12 สัปดาห์
.
อีกหนึ่งอาการบาดเจ็บที่พบได้ในนักวิ่งมาราธอน คือ กระดูกหักล้า (Stress Fracture) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทําให้นักวิ่งต้องหยุดพักเป็นเวลานาน เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนล้า และไม่สามารถรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกได้ ส่งผลให้กระดูกได้รับแรงกระแทกมากขึ้นทําให้เกิดการแตกหักเล็กๆ ภายในโครงสร้างของกระดูก กระดูกหักล้าพบบ่อยที่กระดูกเหนือข้อเท้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณเหนือข้อเท้า โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นขณะวิ่ง เมื่อหยุดวิ่งอาการก็อาจบรรเทาลง พอวิ่งอีกก็จะปวดอีกจนไม่สามารถวิ่งได้
.
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการสแกนกระดูก (Bone Scan) เนื่องจากการแตกหักดังกล่าวมีขนาดเล็กมาก การทําเอกซเรย์ปกติจะไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สําหรับกรณีนี้ผู้ป่วยจะหายเองได้ด้วยการหยุดพักการวิ่ง เพื่อให้กระดูกรักษาตัวเอง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน แต่ก่อนที่จะกลับมาวิ่งอีกครั้ง ควรมั่นใจว่าไม่มีอาการปวดเหลืออยู่อีก มิฉะนั้นอาจทําให้กระดูกหักล้ามากขึ้นและกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้
.
นอกจากนี้ ยังมีอาการเจ็บปวดที่เกิดจากลักษณะอุ้งเท้าที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ นักวิ่งที่มีอุ้งเท้าสูง (High Arch Foot) มักพบอาการเอ็นร้อยหวายตึงมากกว่าปกติ ส่วนนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบน (Flat Foot) อาจเกิดอาการปวดร้าวบริเวณอุ้งเท้า เนื่องจากมีการลงน้ำหนักที่ฝ่าเท้าด้านในมากกว่าปกติ ดังนั้นนักวิ่งจึงต้องเลือกพื้นรองเท้าให้เหมาะสม กับลักษณะเท้าของตนเองเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเหล่านี้ด้วย
.
รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ บอกอีกว่า อาการทางกล้ามเนื้อก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะภาวะกล้ามเนื้อสลายจากการวิ่งต่อเนื่องยาวนาน เช่นกรณี “ตูน บอดี้สแลม” ซึ่งได้รับการตรวจเลือดและพบค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ (Creatinine Phosphokinase หรือ CPK) ขึ้นสูงกว่า 4,000 U/L (โดยปกติจะมีค่าอยู่ระหว่าง 15 – 220 U/L) ค่า CPK ที่ขึ้นสูงเช่นนี้บ่งบอกถึง ภาวะการสลายของกล้ามเนื้อที่ปนออกมาในเลือด ปัญหานี้อาจส่งผลร้ายแรงให้เกิดภาวะไตวายได้ สามารถสังเกตอาการเริ่มต้นได้จากสีของปัสสาวะ หากมีสีเข้มกว่าปกติควรดื่มน้ําให้มากขึ้น นักวิ่งที่ประสบปัญหากล้ามเนื้อสลาย หากรักษาไม่ทันท่วงทีหรือไม่ถูกวิธีก็อาจเสียชีวิตได้
.
สำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บจากการวิ่งนั้น รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ แนะนำวิธีปฐมพยาบาลได้ง่ายๆ ด้วยการใช้หลัก “RICE” ได้แก่
- Rest: การหยุดพักเมื่อเกิดการบาดเจ็บ
- Ice: การใช้น้ำแข็งประคบลดบวมและบาดเจ็บ
- Compression: การใช้ผ้ายืดพันกระชับไม่ให้บวมเพิ่มมากขึ้น
- Elevation: การยกอวัยวะที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น ยกขาสูง เพื่อช่วยลดอาการบวม
—————
ที่มา: รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์, แพทย์ออร์โธปิดิกส์ และประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง