กางแผนที่เสี่ยง “โลกเดือด” ไทยอันดับ 17

โลกเผชิญผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่ ไฟป่ารุนแรง พายุพลังทำลายล้างสูง หรือวิกฤตคลื่นความร้อนที่ทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเหตุการณ์ปกติ ไม่ใช่นาน ๆ ทีถึงจะเกิดขึ้น ข้อมูลจากรายงานดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ประจำปี 2569 (Climate Risk Index-CRI 2026) ที่เผยแพร่โดย “เยอรมันวอตช์” (Germanwatch) ซึ่งติดตามเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศโลกและจัดอันดับความเสี่ยงของ 174 ประเทศทั่วโลก ระบุว่า ในระหว่างปี 2538-2567 เกิดภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) มากกว่า 9,700 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกกว่า 832,000 คน ส่งผลกระทบต่อประชากรเกือบ 5.7 พันล้านคน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว
เมื่อแยกความเสียหายทางเศรษกิจตามประเภทของภัยพิบัติ พบว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พายุสร้างความเสียหายรวมมากที่สุดราว 2.637 ล้านล้านดอลลาร์ ตามด้วยน้ำท่วม 1.314 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับต่อมา คือ ภัยแล้ง 2.869 แสนล้านดอลลาร์ ไฟป่าเสียหายราว 1.775 แสนล้านดอลลาร์ คลื่นความร้อนอยู่ที่ 3.285 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนเหตุสภาพอากาศสุดขั้วอื่น ๆ อาทิ คลื่นอากาศหนาว สภาพอากาศหนาวจัด ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลันจากธารน้ำแข็ง มีมูลค่ารวม 6.496 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติในปี 2567 ยืนยันถึงการที่โลกกำลังเผชิญความปกติใหม่ (new normal) ของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่การคาดการณ์อีกต่อไป โดยปี 2567 ได้รับการยืนยันว่าเป็นปีที่ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ นับเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคก่อนอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ตลอดปี 2567 อุณหภูมิผิวน้ำทะเลทั่วโลก รวมถึงมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สภาวะเหล่านี้ก่อให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงทั่วเอเชีย ยุโรป และลาตินอเมริกา ทำให้ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคนต้องเผชิญกับวันที่สภาพอากาศร้อนจัดมากกว่า 30 วัน ด้านพายุเฮอร์ริเคนเบริล (Beryl) พัดถล่มเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ รวมถึงเกรเนดา ด้วยพลังทำลายล้างสูง ส่วนในแอฟริกาเกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในภาคตะวันตกและภาคกลางคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก หลายประเทศในเอเชียก็ได้รับผลกระทบจากฤดูไต้ฝุ่นที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่ม วิกฤตภัยแล้งและไฟป่าครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ปี 2548 ในแอมะซอน เผาทำลายพื้นที่ป่ารวมกว่า 20 ล้านเฮกตาร์ หรือ 125 ล้านไร่
ข้อมูลในระหว่างปี 2538-2567 ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงระยะยาวจากการวิเคราะห์ตัวชี้วัด 6 รายการ ได้แก่ จำนวนผู้เสียชีวิตรวม จำนวนผู้เสียชีวิตต่อประชากร 100,000 คน จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ จำนวนผู้ได้รับผลกระทบต่อประชากร 100,000 คน ความเสียหายทางเศรษฐกิจ และความเสียหายทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนต่อ GDP โดยเครือรัฐโดมินิกาเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP เนื่องจากเสี่ยงกับพายุเฮอร์ริเคนมากสุดในแถบทะเลแคริบเบียน ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดมินิกาเผชิญกับพายุเฮอร์ริเคน 7 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย จำนวนผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 110,000 คน และความเสียหายทางเศรษฐกิจรวม 3 พันล้านดอลลาร์
ประเทศที่ได้รับผลกระทบรองลงมา คือ เมียนมาที่มีอัตราการเสียชีวิตและความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงมากจากเหตุสภาพอากาศสุดขั้วแต่ละครั้ง เมียนมาเผชิญกับภัยธรรมชาติมากมาย ทั้งอุณหภูมิสุดขั้ว ภัยแล้ง พายุไซโคลน น้ำท่วมและคลื่นพายุซัดฝั่ง และฝนตกหนัก ยกตัวอย่างพายุไซโคลนนาร์กิสในปี 2551 สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง คร่าชีวิตผู้คนเกือบ 140,000 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 5.8 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 30 ปีมานี้ เมียนมาเผชิญภัยพิบัติ 55 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นอุทกภัย มีผู้เสียชีวิตรวมเกือบ 141,000 คน มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 9 ล้านคน และความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 8.6 พันล้านดอลลาร์
สำหรับอันดับ 3-10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ได้แก่ ฮอนดูรัส ลิเบีย เฮติ เกรนาดา ฟิลิปปินส์ นิการากัว อินเดีย และบาฮามาส
หากพิจารณาเฉพาะในปี 2567 เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วหนักหนาที่สุด เนื่องจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจต่อ GDP สูงเป็นพิเศษ รวมถึงจำนวนผู้เสียชีวิตเมื่อเทียบประชากร 100,000 คน เหตุการณ์รุนแรงที่สุดในปีที่แล้ว คือพายุเฮอร์ริเคนเบริลที่มีความเร็วลมถึง 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คร่าชีวิตผู้คนไป 8 ราย กระทบกับผู้คนมากกว่า 40,000 คน คิดเป็นร้อยละ 36 ของประชากรทั้งหมด และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 230 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของ GDP
อันดับ 2 ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ เกรเนดา เนื่องจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากสภาพอากาศสุดขั้วมีสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP พายุเฮอร์ริเคนเบริลสร้างผลกระทบรุนแรงสุด คร่าชีวิตผู้คนไป 8 ราย กระทบประชาชนมากกว่า 12,000 คน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 218 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 16 ของ GDP
ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดรองลงมา คือ ชาด ปาปัวนิวกินี ไนเจอร์ เนปาล ฟิลิปปินส์ มาลาวี เมียนมา และเวียดนาม กรณีฟิลิปปินส์มาจากผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากเมื่อเทียบประชากร 100,000 คน และความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล ในระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ฟิลิปปินส์เผชิญพายุหลายลูกที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากกว่า 16 ล้านคน สำหรับเมียนมา เผชิญเหตุสภาพอากาศสุดขั้ว 3 ครั้งในปีที่แล้ว ทั้งเหตุน้ำท่วมใหญ่ 2 ครั้ง และพายุไต้ฝุ่นยางิที่กระทบผู้คนกว่า 1 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 460 ราย และเศรษฐกิจเสียหาย 222 ล้านดอลลาร์ ด้านเวียดนาม เหตุการณ์รุนแรงสุดคือพายุไต้ฝุ่นยางิที่มีความเร็วลมสูงถึง 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มเป็นบริเวณกว้าง คร่าชีวิตผู้คนไป 345 ราย มีผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 3.6 ล้านคน และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 2 พันล้านดอลลาร์
ดัชนี CRI ล่าสุดประเมินผลกระทบตามเหตุสภาพอากาศสุดขั้ว 6 ประเภท ได้แก่ น้ำท่วม พายุ คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า และอื่น ๆ โดยในปี 2567 น้ำท่วมและคลื่นความร้อนเป็นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด ทั้งนี้ น้ำท่วมเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 5,931 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37 รองลงมาคือคลื่นความร้อน 4,050 ราย คิดเป็นร้อยละ 25 และพายุ 2,591 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 ส่วนดินถล่มเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 2,243 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 และสภาพอากาศหนาวจัดคร่าชีวิตผู้คน 1,197 ราย คิดเป็นร้อยละ 7
ในแง่จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสภาพอากาศสุดขั้ว เหตุการณ์น้ำท่วมมาอันดับ 1 กระทบ 49.14 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 29 ตามด้วยพายุ 47.97 ล้านคน คลื่นความร้อนกระทบ 33.08 ล้านคน และภัยแล้งกระทบ 29.48 ล้านคน
สำหรับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากสุดในปี 2567 เกิดจากพายุ มีมูลค่ากว่า 1.726 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 77 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด โดยเฮอร์ริเคนเฮเลนที่พัดถล่มสหรัฐฯ สร้างความสูญเสียมากสุด 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ รองลงมาคือ น้ำท่วมที่สร้างความเสียหาย 3.276 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 กรณีสเปนเผชิญภัยธรรมชาติครั้งเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์หลังจากฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทางตะวันออก สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนภัยแล้งอยู่ในอันดับ 3 สร้างความเสียหายมากถึง 1.333 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่อด้วยไฟป่าที่สร้างความสูญเสียรวม 4.78 พันล้านดอลลาร์ และภัยพิบัติอื่น ๆ รวมกัน 345 ล้านดอลลาร์
ในปี 2567 เหตุสภาพอากาศสุดขั้วหลายเหตุการณ์สะท้อนถึงอิทธิพลร่วมกันของปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงในช่วงต้นปี นำไปสู่การเกิดน้ำท่วมและภัยแล้ง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ ยิ่งซ้ำเติมความรุนแรงและความถี่ของภัยพิบัติทั่วโลกแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลการจัดอันดับล่าสุดสะท้อนความเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงยกระดับความพยายามเพื่อลดความสูญเสีย และเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินที่จำเป็น
เหตุสภาพอากาศสุดขั้วส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ความสามารถในการรับมือของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน ดัชนีที่สะท้อนภาพระยะยาว 30 ปี สะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงต่อประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดย 6 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงปี 2538-2567 มาจากกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง (lower-middle-income) ได้แก่ เมียนมา ฮอนดูรัส เฮติ ฟิลิปปินส์ นิการากัว และอินเดีย ส่วนอีก 3 ประเทศอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน (upper-middle-income) คือ โดมินิกา เกรเนดา และลิเบีย มีเพียง 1 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง นั่นคือ บาฮามาส
ส่วนภาพรวมในปี 2567 พบว่า ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างไม่สมส่วน ซึ่งในทำเนียบ 10 อันดับแรกของประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุด มี 3 ประเทศมาจากกลุ่มประเทศรายได้ต่ำ (low-income) ได้แก่ ชาด มาลาวี และไนเจอร์ อีก 5 ประเทศมาจากกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับล่าง ได้แก่ ปาปัวนิวกินี เนปาล ฟิลิปปินส์ เมียนมา และเวียดนาม ส่วน 2 ประเทศที่เหลืออยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน คือ เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ และเกรเนดา
แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับเมื่อขยายอันดับครอบคลุม 20 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากสุด ทั้งเมื่อเทียบระยะยาว 30 ปี และเฉพาะในปี 2567 ขณะที่น่าสังเกตว่า ไทยมีชื่อติดอันดับ 17 ในกลุ่ม 20 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดจากสภาพอากาศสุดขั้ว ปี 2567 ซึ่งอันดับ 11-16 ได้แก่ จาเมกา บราซิล บังกลาเทศ อัฟกานิสถาน อินเดีย ชิลี และอันดับ 18-20 ได้แก่ มาลี ไนจีเรีย สเปน
ทั้งนี้ การที่ไทยติดอันดับ 17 ในดัชนีปี 2567 เป็นการก้าวกระโดดขึ้นจากอันดับ 69 ในปี 2566 สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเหตุสภาพอากาศสุดขั้ว ส่วนความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี ล่าสุดอยู่อันดับ 22 ขยับขึ้นจากอันดับ 21 ในการจัดอันดับเมื่อปีที่แล้ว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
