แนะนำมือถือเปิดตัวใหม่น่าใช้ประจำเดือน มกราคม 2569
สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ ชาว True ID ทุกท่าน ปีใหม่ปีนี้ มาเริ่มต้นกันด้วยมือถือเปิดตัวใหม่ในช่วงเดือนที่ผ่านมากันครับ ซึ่งเริ่มต้นปีแบบนี้ ใครที่กำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ไว้ประจำกาย บอกเลยว่ามีที่น่าสนใจมากมายหลายรุ่นกันเช่นเคย แต่จะมีรุ่นไหนน่าสนใจกันบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยครับ
Xiaomi 17 Ultra
เริ่มกันที่ Xiaomi 17 Ultra ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการถ่ายภาพบนมือถือด้วยการเปิดตัวชุดกล้องหลัง 3 ตัวที่ร่วมพัฒนากับ Leica ซึ่งเป็นจุดเด่นหลักที่ปฏิวัติวงการ โดยมีกล้อง Periscope Telephoto ความละเอียดสูงถึง 200MP (เซ็นเซอร์ Samsung HPE) ที่รองรับ การซูมแบบออปติคัลต่อเนื่อง (Continuous Optical Zoom) และกล้องหลัก 50MP เซ็นเซอร์ขนาด 1 นิ้ว Light Fusion 1050L ที่ใช้เทคโนโลยี LOFIC เพื่อเพิ่ม Dynamic Range อย่างมหาศาล ขณะที่ด้านประสิทธิภาพถูกขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตเรือธงแห่งปีอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 5 SoC และระบบปฏิบัติการ HyperOS 3.0 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ AI ที่ฉลาดล้ำ นอกจากนี้ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอนขนาดใหญ่ถึง 6,800mAh ซึ่งถือเป็นความจุที่ไม่เคยมีมาก่อนในรุ่น Ultra พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบมีสาย 90W และไร้สาย 50W ทำให้มั่นใจได้ทั้งพลังงานและความเร็วในการประมวลผล
นอกจากรุ่นมาตรฐานแล้ว Xiaomi 17 Ultra Leica Edition ยังสร้างความฮือฮาด้วยการเสริมฟีเจอร์ที่เน้นประสบการณ์การถ่ายภาพแบบคลาสสิกด้วย "วงแหวนซูมแบบกลไก" (Mechanical Zoom Ring) ติดตั้งอยู่รอบโมดูลกล้อง ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับความยาวโฟกัส ค่าแสง และ White Balance ได้ด้วยการหมุนเหมือนกล้อง Leica M-series จริง ๆ พร้อมดีไซน์แบบทูโทนและโลโก้ Leica สีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ด้านหน้าจอใช้ M10 AMOLED LTPO ขนาด 6.9 นิ้ว แบบจอเรียบ ที่โดดเด่นด้วยความสว่างสูงสุดถึง 3,500 nits และได้รับการปกป้องด้วยกระจก Xiaomi’s Dragon Crystal Glass 3.0 ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปิดท้ายด้วยการรองรับการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบ ทั้ง Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, และฟีเจอร์สำคัญอย่าง การสื่อสารผ่านดาวเทียม (Satellite Communication) ทำให้ Xiaomi 17 Ultra เป็นมากกว่าสมาร์ทโฟน แต่เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพระดับมืออาชีพที่ครบวงจร
อย่างไรก็ตาม รุ่นนี้ยังเพิ่งเปิดตัวในประเทศจีนครับ ดังนั้นอาจต้องลุ้นว่าจะมีเข้าไทยหรือไม่ และจะมีราคาเท่าไหร่ แต่ที่เปิดตัวในจีนจะเริ่มต้นอยู่ที่ 6,999 หยวน หรือราวๆ 33,xxx บาท
Honor Win Series
Honor Win Series (ประกอบด้วย Honor Win และ Honor Win RT) ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์ทโฟนเกมมิ่งด้วยการรวมสเปกระดับ "ที่สุด" ไว้ในดีไซน์ที่พรีเมียม โดยเน้นที่ขุมพลังหลักและการระบายความร้อนที่เหนือชั้น ซึ่งรุ่น Honor Win ใช้ชิปเซ็ตเรือธง Snapdragon 8 Elite Gen 5 ในขณะที่รุ่น Win RT ใช้ Snapdragon 8 Elite พร้อม RAM LPDDR5X Ultra และหน่วยความจำ UFS 4.1 สูงสุด 1TB ทั้งสองรุ่นติดตั้ง ระบบระบายความร้อนแบบพัดลมแอคทีฟ (Active Cooling Fan) ที่โมดูลกล้องด้านหลัง ซึ่งสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 25,000 RPM ในโหมด 'Rage Mode' เพื่อควบคุมความร้อนและป้องกันประสิทธิภาพตก (Thermal Throttling) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด.
จุดเด่นด้านการแสดงผลและพลังงานถูกอัดแน่นไม่แพ้กัน ทั้งสองรุ่นมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 6.83 นิ้ว ความละเอียด Full-HD+ ที่มีอัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 185Hz และความสว่างสูงสุดที่พุ่งไปถึง 6,000 nits รวมถึงเทคโนโลยี PWM Dimming 5,920Hz เพื่อถนอมสายตาขณะเล่นเกมเป็นเวลานาน ที่สำคัญที่สุดคือการติดตั้งแบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอนขนาดใหญ่ถึง 10,000mAh ในทั้งสองรุ่น ทำให้เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีแบตเตอรี่อึดที่สุดในตลาด พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบมีสาย 100W และชาร์จไร้สาย 80W ในรุ่น Honor Win นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมาพร้อมมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68/IP69/IP69K และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7.
แม้จะเน้นการเล่นเกม แต่ Honor Win ก็ไม่ทิ้งเรื่องกล้อง โดยรุ่น Win มาพร้อมชุดกล้องหลังสามตัว ประกอบด้วยกล้องหลัก 50MP, กล้อง Telephoto 50MP ที่ซูมได้ 3x และกล้อง Ultrawide 12MP พร้อมกล้องหน้า 50MP สำหรับรุ่น Win RT ที่มีราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงง่ายกว่ามาก (เริ่มต้นราว 13,000 บาท) จะตัดกล้อง Telephoto ออกไป ซึ่งกลยุทธ์การตลาดนี้เป็นการสร้าง "Hyper-Performance Flagship" ที่เน้นความอึดของแบตเตอรี่ การควบคุมความร้อน และประสิทธิภาพสุดขั้ว เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์มาให้ผู้ใช้ที่คำนึงถึงงบประมาณได้สัมผัส
ทั้งคู่เป็นอีกรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวในจีนครับ ดังนั้นตอนนี้ยังต้องรอลุ้นราคาไทยต่อไป โดยราคาเปิดตัวในจีน Honor Win (รุ่นท็อป) เริ่มต้นที่ 3,999 หยวน (ประมาณ 19,300 บาท) และ Honor Win RT (รุ่นรอง) มีราคาเริ่มต้นที่ 2,699 หยวน (ประมาณ 13,000 บาท)
OPPO A6 Series
OPPO A6 Series ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะสมาร์ตโฟนที่มอบประสบการณ์ "สมูทเกินต้าน ทนทานทุกดาเมจ" โดยชูจุดเด่นด้านความทนทานและการใช้งานที่ยาวนานในราคาสุดคุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 3,499 บาท เท่านั้น ซีรีส์นี้ประกอบด้วย 4 รุ่นย่อย ได้แก่ OPPO A6 5G, OPPO A6, OPPO A6x 5G และ OPPO A6x ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ครอบคลุมและทนทานต่อสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ.
หัวใจหลักของความทนทานใน OPPO A6 Series คือ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่สูงสุด 7,000mAh ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 5 ปี พร้อมเทคโนโลยีชาร์จไว 45W SUPERVOOC เพื่อให้ใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่สะดุด นอกจากนี้ยังมาพร้อมมาตรฐานการทนน้ำทนฝุ่นสูงสุดถึงระดับ IP69 มอบความมั่นใจในการใช้งานในทุกสภาพแวดล้อม ด้านความบันเทิง หน้าจอให้ประสบการณ์ที่ลื่นไหลด้วยอัตรารีเฟรช 120Hz และมีความสว่างพิเศษคมชัดทุกการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังมาพร้อมระบบระบายความร้อน SuperCool VC เพื่อรักษาเฟรมเรตให้คงที่เมื่อเล่นเกมหนัก ๆ แม้จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ตัวเครื่องก็ยังถูกออกแบบให้ น้ำหนักเบา บางเฉียบ และมีดีไซน์ที่ดูดีสไตล์แฟลกชิป.
OPPO A6 Series มีการแบ่งรุ่นและความจุอย่างชัดเจนเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มในราคาที่แตกต่างกัน โดยรุ่น OPPO A6x ที่มาพร้อมตัวเลือกความจุเริ่มต้น 4+64GB มีราคาเริ่มต้นเพียง 3,499 บาท ในขณะที่รุ่นที่รองรับ 5G อย่าง OPPO A6x 5G เริ่มต้นที่ 4,999 บาท, OPPO A6 ราคาเริ่มต้น 5,999 บาท และรุ่น OPPO A6 5G (รุ่นท็อป) ราคา 6,999 บาท ด้วยสเปกที่เน้นความอึด ความสมูท และความทนทานในระดับราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้ OPPO A6 Series เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาสมาร์ตโฟนที่คุ้มค่า คุ้มราคา และพร้อมลุยในทุก ๆ วัน
vivo Y31 5G
vivo Y31 5G สมาชิกใหม่ล่าสุดที่เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์ตโฟน 5G ระดับกลางในประเทศไทย ด้วยการเน้นย้ำที่ ความทนทานรอบด้าน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในซีรีส์นี้ ตัวเครื่องผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับท็อป IP68 และ IP69 ซึ่งหมายความว่าสามารถทนน้ำลึก 1.5 เมตร ได้นานถึง 30 นาที และยังผ่านการรับรองความทนทานในระดับทหาร (Military-Grade) รวมถึงได้รับคะแนนกันกระแทกระดับ 5 ดาวจาก SGS อีกด้วย ยกระดับการปกป้องขึ้นไปอีกขั้นด้วยการครอบทับหน้าจอด้วยกระจก Guardian ที่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนเป็นพิเศษ แม้จะเน้นความทนทาน แต่สเปกภายในก็ยังตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 4 Gen 2 รองรับ 5G บนระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 (บนพื้นฐาน Android 15) พร้อมตัวเลือก RAM 8GB ที่มาคู่กับ ROM 128GB หรือ 256GB
นอกจากความอึดของตัวเครื่องแล้ว vivo Y31 5G ยังมาพร้อมกับพลังงานที่ยาวนาน ด้วยแบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่ถึง 6,500mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 44W ผ่านสาย ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดระหว่างวัน ส่วนหน้าจอแสดงผลเป็นแบบ LCD กว้าง 6.68 นิ้ว ความละเอียด HD+ ที่ให้อัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz และมีความสว่างสูงสุด 1,000nits พร้อมระบบเสียงลำโพงคู่สเตอริโอที่สามารถปรับความดังได้ถึง 400% ในด้านการถ่ายภาพ มาพร้อมกล้องหลัง 2 ตัว โดยกล้องหลักมีความละเอียด 50MP และกล้องหน้า 8MP
vivo Y31 5G วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว โดยมีให้เลือก 2 สีสวยงาม คือ Jade Green และ Pearl White ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7,999 บาท สำหรับรุ่น (8GB+128GB) และ 8,999 บาท สำหรับรุ่น (8GB+256GB)