ประวัติศาสตร์ใหม่! หมอยงชี้รู้ผลวัคซีนโควิด-19 ปลายปีนี้ เร็วกว่าปกติ 10 เท่า
ประวัติศาสตร์ใหม่! หมอยงชี้รู้ผลวัคซีนโควิด-19 ปลายปีนี้ เร็วกว่าปกติ 10 เท่า
วันนี้ (14 กันยายน) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 วัคซีน ว่า การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถรู้ผลได้ภายในปลายปี 2563 ถือว่าทำเร็วกว่าปกติเป็น 10 เท่า และจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การผลิตวัคซีน เพราะในอดีตการคิดค้นวัคซีน จะใช้บุคคลคนเดียว หรือกลุ่มเล็ก แต่ในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้แล้ว การทำงานจะต้องทำเป็นทีมใหญ่ ใช้หลายศาสตร์มารวมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด
ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวระบุว่า
“โควิด 19
การพัฒนาวัคซีน ถ้ามองย้อนไปถึงสมัย เอดเวิร์ด เจนเนอร์ ได้ปลูกฝีให้กับเด็กคนแรก ในปี 2339 เพื่อป้องกันฝีดาษ
โดยสังเกตจากหญิงรีดนมที่เป็น ฝีดาษวัว แล้วไม่เป็นฝีดาษคน
และเป็นผู้ใช้ศัพท์คำว่าวัคซีน ซึ่งมาจากภาษาลาตินแปลว่า วัว
ต่อมาในสมัย หลุยส์ ปาสเตอร์ เมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว ได้มีคิดค้นวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
สามารถสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ ทั้งที่ท่านไม่ได้เป็นแพทย์
ท่านก็ไม่ได้มีวิธีการขั้นตอน เริ่มจากสัตว์ทดลอง แล้วมาทดลองในคนระยะที่ 1 2 3
แต่วัคซีน ที่ใช้แบบสมัยของหลุยส์ ปาสเตอร์ หลายคนคงเคยรู้ว่า ฉีดรอบสะดือ 17-21 เข็ม และมีอาการข้างเคียงมาก
สามารถป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ แต่อาการข้างเคียงก็อาจทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
วิธีดังกล่าวจึงได้เลิกใช้
ในปัจจุบันการศึกษาวัคซีน ไม่ใช่บอกว่ากระตุ้นภูมิต้านทานได้แล้ว ในสัตว์ทดลอง แล้วบอกว่าทำได้แล้ว ยังมีขั้นตอนการทดสอบความเป็นพิษ ทดสอบความปลอดภัยในระยะต่างๆ
การศึกษาในมนุษย์จะต้องใช้ข้อมูลพื้นฐานที่มีการทดลองอย่างดี และการเตรียมวัคซีนอย่างดีในขั้นทดลองในสัตว์ทดลอง ก่อนจะมาถึงการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์
จึงใช้ระยะเวลาการศึกษายาวนาน กว่าจะได้วัคซีนใหม่ แต่ละตัวโดยเฉลี่ยถึง 10 ปี แต่เมื่อมาถึงโรคระบาดที่มีความรุนแรงและรวดเร็ว ทุกคนจึงต้องทำงานแข่งกับเวลา จึงมีการศึกษาวิจัยในแต่ละขั้นตอนให้รวบรัดขึ้น แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
วัคซีน โควิด 19นี้ สามารถรู้ผลได้ภายในสิ้นปีนี้ ก็ถือว่าทำเร็วกว่าปกติเป็น 10 เท่าทีเดียว
จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การผลิตวัคซีน
ในอดีตการคิดค้นวัคซีน จะใช้บุคคลคนเดียว หรือกลุ่มเล็ก
แต่ในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้แล้ว
การทำงานจะต้องทำเป็นทีมใหญ่ ใช้หลายศาสตร์มารวมกัน
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด”