GULFโชว์กำไรทุบสถิติ เงินปันผลเข้า360ล้าน

ทันหุ้น-GULF โชว์กำไรจากการดำเนินงาน Q3/63 สูงเป็นประวัติการณ์ โต 34% แตะ 1.32 พันล้านบาท ขายไฟฟ้าลูกค้านิคมฯเพิ่ม ต้นทุนค่าก๊าซลด พร้อมรับเงินปันผลกว่า 360 ล้านบาท จากINTUCH-SPCG-EDL-Gen ส่วนปี64 รายได้จะวิ่งแรง 45% - 50% จากการCODไฟเข้าระบบอีกกว่า 1,325 เมกะวัตต์ พร้อมมองโอกาสลงทุน ยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือGULFเปิดเผยรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 1,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ทั้งจากกลุ่ม GMP และ GJP สามารถขายไฟฟ้าและไอน้ำให้ลูกค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาส 3 มีการฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประกอบกับต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลงจาก 261.41 บาท ต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 235.22 บาทต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 3 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสูงขึ้น จาก 23.1% ในไตรมาสก่อน เป็น 25.9% ในไตรมาสนี้

*รับเงินปันผลกว่า360ล.

นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ทั้ง 2 โครงการ และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2563 นอกเหนือจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของโครงการที่กล่าวข้างต้น ในไตรมาสนี้ บริษัท ยังได้รับเงินปันผลเป็นจำนวนรวม 360 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 295 ล้านบาท, SPCG จำนวน 62 ล้านบาท และ EDL-Gen จำนวน 3 ล้านบาท ทำให้บริษัท บันทึก core profit สูงเป็นประวัติการณ์ สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ เท่ากับ 970 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จาก 31.0658 บาทต่อ ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 31.8258 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสนี้ ซึ่งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด

เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน core profit เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ มาจากเงินปันผลที่ GULF ได้รับจากการไปลงทุนในหุ้นสามัญ INTUCH, SPCG และ EDL-Gen และผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้า GJP ที่ดีขึ้น มาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ของ 7 SPPs ที่เพิ่มขึ้นจาก 1,036 กิกะวัตต์-ชั่วโมงในไตรมาส 3 ปี 2562 เป็น 1,146 กิกะวัตต์-ชั่วโมงในไตรมาส 3 ปี 2563 นอกจากนี้ 7 SPPs ยังมีปริมาณการขายไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจาก 60,323 พันตันในไตรมาส 3 ปี 2562 เป็น 72,393 พันตันในไตรมาสเดียวกันปีนี้อีกด้วย ประกอบกับในไตรมาส 3 ปี 2562 ได้มีการหยุดซ่อมบำรุงรักษา (C-inspection) ของโรงไฟฟ้า SPP ในกลุ่ม GJP จำนวน 3 โรง ได้แก่ โครงการ GKP2, GNLL และ GNK2 ในขณะที่ในไตรมาส 3 ปีนี้ มีโรงไฟฟ้า SPP ภายใต้กลุ่ม GMP 1 โรง ได้แก่ โครงการ GTS2 ที่มีการหยุดซ่อมบำรุง (B-inspection) เป็นเวลา 17 วัน

*เดินหน้าขยายโรงไฟฟ้า

ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน 2563 บริษัท ได้มีการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวน 32,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) ลดลงเหลือ 1.35 เท่าในไตรมาสนี้ ส่งผลให้บริษัท มีศักยภาพในการขยายการลงทุนในอนาคตได้อีกประมาณ 100,000 – 110,000 ล้านบาท โดยอยู่บนสมมติฐานอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ประมาณ 3.0 เท่า ซึ่งเป็นนโยบายการบริหารโครงสร้างเงินทุนภายในของบริษัท

นอกจากนี้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัท มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) เท่ากับ 2,959 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับ 2,701 เมกะวัตต์ในไตรมาส 3 ปี 2562 หรือเพิ่มขึ้น 258 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG ในเดือนมีนาคม 2563 และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี (กำลังการผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์) ซึ่งได้โอนหุ้นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 และจะเริ่มรับรู้รายได้และกำไรเต็มไตรมาสในไตรมาส 4 ปี 2563 โดยในปี 2564 บริษัท คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวประมาณ 6,000 ล้านบาท

@รายได้ปีหน้าพุ่ง50%

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัท คาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 45% - 50% โดยหลัก ๆ มาจากโครงการ BKR2 และการเปิดดำเนินการของโครงการโรงไฟฟ้า IPP ได้แก่ GSRC หน่วยที่ 1 และ หน่วย 2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ พร้อมกันนี้บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่นในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งบริษัทให้ความสนใจทั้งการลงทุนในโครงการ Greenfield และโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว และการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ โดยจะเน้นโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วเพื่อจะได้รับรู้รายได้และกำไรเข้ามาในงบการเงินทันที  ส่วนกระแสข่าวว่า GULF หรือบริษัทย่อยมีการเข้าไปลงทุนใน VGI นั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งนโยบายการลงทุนของบริษัทจะเน้นไปที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

รวมสิทธิส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกาะติดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทันเรื่องราวกระแสสังคม

สัมผัสประสบการณ์ข่าวได้ที่ แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!)