รีเซต

EEC วางแผนเดินหน้าเมืองการบิน โบรกมองเชิงบวกกลุ่มรับเหมาฯ

EEC วางแผนเดินหน้าเมืองการบิน โบรกมองเชิงบวกกลุ่มรับเหมาฯ
ทันหุ้น
22 มกราคม 2568 ( 13:11 )
4

 

#CK #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.กสิกรไทย

 

อู่ตะเภาพร้อมสำหรับการออกบินแล้ว

เลขาธิการ EEC วางแผนออกประกาศเริ่มดำเนินโครงการ (NTP) เพื่อเริ่มก่อสร้างเมืองการบิน โดยไม่รอรถไฟความเร็วสูง

สิ่งนี้เป็นบวกต่อ STECON, BTS และ BA ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ STECON ยัง

มีโอกาสได้รับงานก่อสร้างโครงการเมืองการบินมูลค่า 2.36 แสนลบ.

มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม โครงการในพื้นที่ EEC ยังคงมี

ความไม่แน่นอนสูง เรายังคงเลือก CK และ SEAFCO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้

 

Investment Topics

เหตุการณ์ตามรายงานของ TNN Thailand คุณจุฬา สุขมานพ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขดพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่า บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) มีแผนที่จะเริ่มการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและเมืองการบินก่อนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดย BA ถือหุ้น 45% ใน UTA, BTS ถือหุ้น 35% และ STECON ถือหุ้น 20%

 

สรุป EEC โครงการในพื้นที่ EEC ประกอบด้วยโครงการเมกะโปรเจกต์ 4โครงการ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (GULF + PTT JVs 'ได้รับสัมปทาน), ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (GULF +PTT + Chec Oversea Infrastructure Holding), รถไฟความเร็วสูง (CP + ITD + BEM หรือ Aisa Era One), และสนามบินนานาชาติอู่ตะเกา (BA +BTS + STECON หรือ UTA) เบื้องต้น EEC มีแผนให้เริ่มก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงก่อน แล้วจึงเริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดความล่าช้าอย่างยาวนานของโครงการรถไฟความเร็วสูง ขณะนี้ EEC มีแผนอนุญาตให้ UTA เริ่มก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาก่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง

 

โครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว ปัจจุบันโครงการในพื้นที่ EEC ที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ได้แก่ 1) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (มูลค่าโครงการ 1 หมื่นลบ. โดย ITD เป็นผู้รับเหมา) 2) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 (มูลค่าโครงการ 2.1หมื่นลบ. โดยCNCC) และ 3) รันเวย์และทางขับที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการ 1.3 หมื่นลบ.โดย ITD)

 

โครงการที่ยังเหลือโครงการที่เหลือในพื้นที่ EEC ได้แก่ 1) รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (มูลค่า 1.13 แสนลบ. โดย ITD) 2) มอเตอร์เวย์สาย M7 (มูลค่า 4.5 พันลบ.อยู่ในขั้นตอนการประมูล) 3) อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่า 2.7หมื่นลบ. โดย STECON) 4) ศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศ สาธารณูปโภค และเมืองการบิน ระยะที่ 1 (มูลค่า 1.3 หมื่นลบ. ยังไม่มีผู้รับเหมา) 5) ระยะที่เหลือของโครงการเมืองการบิน (มูลค่า 2.36 แสนลบ. ยังไม่มีผู้รับเหมา) 6) ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 7.3 พันลบ. โดย China Harbour Engineering) และ 7) ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (มูลค่า 1.54 แสนลบ. รอเปิดประมูล) ทั้งนี้ โครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภามี UTA เป็นเจ้าของโครงการ โดยมี STECON เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกิจการร่วมค้า ดังนั้น STECON มีโอกาสสูงที่จะได้รับสัญญาเพิ่มเติมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2.37 แสนลบ.

 

การวิเคราะห์ของเราในแง่ของการประเมินมูลค่า เราได้รวมมูลค่าการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (มูลค่า 2.7 หมื่นลบ.) สำหรับ STECON แล้ว แต่ยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการ UTA สำหรับ STECON, BTS และ BA ตามข้อมูลจาก BTS คาดว่าโครงการ UTA จะมี IRR อยู่ที่ 10-11% หากสมมติ IRR ที่ 10% และมูลค่าการลงทุนเท่ากับส่วนทุนใน UTA ที่ 4 หมื่นลบ. อาจสร้าง upside ให้กับ STECON ที่ 1.34 บาทต่อหุ้น (13.1%ของราคาเป้าหมายของเรา) BTS ที่ 0.22บาทต่อหุ้น (4.7% ของราคาเป้าหมายของเรา) และ BA ที่ 2.17 บาทต่อหุ้น (8.1%ของราคาเป้าหมายของเรา) ทั้งนี้ ควรสังเกตว่ายังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลา รายละเอียดโครงการ และความสามารถในการทำกำไร

 

Valuation and Recommendation

มุมมองเชิงบวกเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ โดยเชื่อว่าความคืบหน้าของโครงการ EEC จะส่งผลบวกต่อ STECON (แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท) BTS(แนะนำ "ถือ" ราคาเป้าหมาย 4.67 บาท) BA (แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 26.87 บาท) และ ITD (ไม่มีคำแนะนำ) อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้รวมมูลค่าที่อาจเกิดขึ้นในประมาณการมูลค่าของเรา หุ้นเด่นที่เรายังคงแนะนำคือ CK (แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 27.30 บาท) และ SEAFCO (แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 2.85 บาท) เนื่องจากเราคาดการณ์ว่ากำไรจะแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของ backlog ที่สูงขึ้น

 

ความเสี่ยงขาลงได้แก่ ความล่าช้าในการประมูลโครงการภาครัฐ การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน การปรับขึ้นแรงเร็วกว่าคาด และความไม่มั่นคงทางการเมือง

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง