สหรัฐฯ เผยกว่า 70 ประเทศต้องการหารือภาษีกับ "ทรัมป์" คิวยาวถึงมิถุนายนแล้ว

แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวประกาศว่าจนถึงตอนนี้มีเกือบ 70 ประเทศที่กำลังเรียงคิวตบเท้าเข้าทำเนียบขาวเพื่อเจรจากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีที่เขาประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน จนสร้างผลกระทบไปทั่วโลก เลวิตต์กล่าวว่าตอนนี้แต่ละประเทศกำลัง “ล้มลง” และเริ่มปฏิรูปแนวทางการค้าของพวกเขาต่อสหรัฐฯ ที่เคยไม่เป็นธรรม
เลวิตต์ยังกล่าวว่าตอนนี้ทั่วโลกตอบรับต่อการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างชัดเจน เธอยกตัวอย่างการพบกันระหว่างทรัมป์และนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ที่ทั้งสองได้ตกลงกันว่าสหรัฐฯ และ อิสราเอลจะขจัดอุปสรรคการค้าระหว่างกัน ซึ่งเลวิตต์มองว่าทั่วโลกควรนำอิสราเอลเป็น “ต้นแบบ” เมื่อเข้ามาเจรจากับสหรัฐฯ และอย่าลืมว่าควรเตรียม “ข้อเสนอที่ดีที่สุด” มาให้เรียบร้อย และสหรัฐฯ จะรับฟัง ซึ่งเลวิตต์ย้ำว่าข้อตกลงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันทุกคน
นอกจากนี้ เลวิตต์กล่าวด้วยว่าทุกข้อเสนอที่ส่งมาถึงสหรัฐฯ จะถูกพิจารณาในเงื่อนไขที่ต่างกันของแต่ละประเทศและจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเธอเปรียบเทียบว่ามันคือ “การสั่งตัดชุด” (tailor made) ที่ทุกแบบทุกไซส์ไม่เหมือนกันกับแต่ละคน
ขณะเดียวกัน สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าคิวเจรจาของแต่ละประเทศกับทรัมป์ในตอนนี้ยาวไปถึงเดือน “มิถุนายน” แล้ว หรืออาจจะยาวมากกว่านั้นในอนาคตอันใกล้ เขากล่าวด้วยว่าเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้จะเป็นเดือนที่ต้องทำงานหนักเพื่อจัดการกับการเจรจาและข้อเสนอต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาสหรัฐฯ
สำหรับความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ มีรายงานว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีของเวียดนาม มีข้อสรุปว่ารัฐบาลเวียดนามจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม ซึ่งรวมไปถึงสินค้าประเภทอาวุธและยุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ เพิ่ม เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะต้องยกเลิกการขึ้นภาษี 46 เปอร์เซ็นต์กับเวียดนาม อีกทั้งเวียดนามยังต้องการเร่งให้สหรัฐฯ นำส่งเครื่องบินพาณิชย์ที่สายการบินของเวียดนามสั่งซื้อไปแล้วให้มาถึงเวียดนามเร็วขึ้นด้วย
ส่วนที่เกาหลีใต้เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (9 เมษายน) รัฐบาลประกาศมาตรการฉุกเฉินช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ โดยเป็นความพยายามลดผลกระทบหลังเผชิญมาตรการภาษีจากทรัมป์ ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของเกาหลีใต้มีอัตราการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดยรัฐบาลเกาหลีใต้จะมอบเงินสนับสนุน 15 ล้านล้านวอนในปี 2025 จากแผนเดิมที่รัฐบาลเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้คือ 13 ล้านล้านวอน นอกจากนี้รัฐบาลเกาหลีใต้จะลดภาษีที่เก็บจากการซื้อรถยนต์ลงจาก 5 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 3.5 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึงเดือนมิถุนายนและเพิ่มเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ของส่วนลดราคาในปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาออกไปอีกหกเดือนหรือจนถึงสิ้นปีนี้
ขณะที่ท่าทีของทรัมป์ต่อคณะผู้แทนเจรจาของเกาหลีใต้ที่นำโดยรักษาการประธานาธิบดีฮัน ด็อก-ซู ดูเหมือนว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกอกถูกใจทรัมป์ไม่ใช่น้อย ทรัมป์โพสต์ข้อความลงบน “Truth Social” ว่าการสนทนาระหว่างเขาและฮัน เป็นไปอย่าง “ยอดเยี่ยม” และพวกเขามีข้อตกลงที่ดีสำหรับทั้ง 2 ประเทศ โดยที่ยังมีตัวแทนระดับสูงจากเกาหลีใต้ที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางมุ่งสู่หน้าสหรัฐฯ เพื่อมาเจรจาโดยตรง
ทรัมป์ยังเปิดเผยว่าเกาหลีใต้จะเพิ่มการใช้จ่ายเงินทางทหารและการป้องกันประเทศครั้งใหญ่กับสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งบทสนทนาของพวกเขาเริ่มต้นจากการที่ฝั่งเกาหลีใต้พูดถึงดีลการลงทุนทางทหารกับสหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยแรกของทรัมป์ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จนกระทั่งมาถึงสมัยของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ทรัมป์เรียกว่าเป็น “โจ ง่วงนอน” (Sleepy Joe) ก็ได้ยุติดีลดังกล่าวกับฝั่งเกาหลีใต้ลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ