เวียดนามเตรียมลดการค้ากับจีน เพื่อหวังลดกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานวันนี้ (11 เมษายน) อ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดกับรัฐบาลเวียดนาม ว่า เวียดนามกำลังเตรียมการที่จะลดการนำเข้าสินค้าจากจีนบางส่วน เพื่อส่งต่อไปยังสหรัฐฯ ผ่านพรมแดนของตัวเองลง และจะคุมเข้มการส่งออกสินค้าที่อ่อนไหวไปยังประเทศจีนด้วย
นอกจากนี้รอยเตอร์สยังรายงานว่า มีเอกสารจากทางการที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ที่พบว่า มาตรการดังกล่าวนี้มีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รวมถึงปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับสินค้าจีนที่ถูกส่งไปยังสหรัฐฯ ด้วยการตราป้ายว่า “Made in Vietnam” ที่ทำให้เผชิญกับกำแพงภาษีที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (9 เมษายน) รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม Ho Duc Phoc ได้หารือร่วมกับ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะเริ่ม “การเจรจาร่วมกัน” ในระหว่างที่ผู้นำสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วัน
เจ้าหน้าที่เวียดนามคาดหวังว่า หากไม่สามารถเจรจาให้ลดลงจนเหลือศูนย์ได้ ก็หวังว่าจะสามารถลดกำแพงภาษีลงมาให้อยู่ที่ระดับ 22-28% จากเดิมที่สหรัฐฯ ตั้งไว้ที่ 46% - ซึ่งเจ้าหน้าที่เวียดนามรายหนึ่งชี้ว่า ทางฝั่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้เช่นกัน
ในการประกาศเริ่มการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี รัฐบาลเวียดนามระบุว่า จะดำเนินการปราบ “การโกงการค้า” แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด
แหล่งข่าวเผยว่าผลของการประชุมหารือ เจ้าหน้าที่กระทรวงการค้า และศุลกากรเวียดนาม ได้รับคำสั่งให้เข้มงวดในการควบคุม โดยมีเวลา 2 สัปดาห์ในการวางแผน “ปราบปรามการขนถ่ายสินค้าที่ผิดกฎหมาย” (illicit transhipment) โดยอาจเลื่อนเส้นตายไปถึงปลายเดือนเมษายน ซึ่งเวียดนามเองก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้การดำเนินการนี้ไปยั่วยุจีน
สำหรับการขนถ่ายสินค้าที่ผิดกฎหมาย (illicit transhipment) หมายถึงการที่ประเทศหนึ่ง ส่งสินค้าไปยังอีกประเทศหนึ่ง ที่ถูกตั้งกำแพงภาษีต่ำกว่าจากประเทศที่ 3 ก่อนที่จะขนถ่ายสินค้าต่อไปยังประเทสนั้น เพื่อไม่ต้องโดนภาษีที่มากกว่านั่นเอง
นับตั้งแต่ดำรตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ บริษัทข้ามชาติหลายแห่งได้ดำเนินนโยบาย “จีนบวกหนึ่ง” (Chine plus one” เพื่อที่จะตั้งโรงงานในเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว - ซึ่งเวียดนามมักถูกเลือกเป็น “plus one” เพราะมีค่าแรงที่ถูก การขนส่งที่สะดวก และยังเป็นมิตรกับนักลงทุนชาวต่างชาติอีกด้วย
ที่ผ่านมา ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากต้องพยายามรักษาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุด และเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการจะสร้างความขัดแย้งกับจีน ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนรายใหญ่ของหลายชาติในอาเซียน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนบ้านที่มีความขัดแย้งในเรื่องพรมแดนในทะเลจีนใต้ด้วย
ข้อมูลการค้าอย่างเป็นทางการพบว่า เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พุ่งสูงขึ้นมาก อันเป็นผลจากสินค้านำเข้าของจีน
ด้านจีนก็ไม่อยู่เฉย โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดเยือนเวียดนามในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจตรงกับช่วงเวลาที่ทางการเวียดนามเตรียมอนุมัติให้ใช้เครื่องบินโดยสาร COMAC ของจีน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของปักกิ่งในการบุกตลาดการบินต่างประเทศ หลังยังไม่สามารถเจาะตลาดนอกประเทศได้มากนัก
การอนุมัตินี้มีขึ้นไม่นานหลังสายการบินเวียดนามเพิ่งประกาศข้อตกลงเงินกู้จากสหรัฐฯ สำหรับจัดซื้อเครื่องบิน Boeing สะท้อนการเดินเกมทางการทูตของเวียดนาม ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างอิทธิพลของทั้งวอชิงตันและปักกิ่ง