รีเซต

ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ CRC ที่ “AA-” แนวโน้ม “Stable”

ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ CRC ที่ “AA-” แนวโน้ม “Stable”
ทันหุ้น
7 ตุลาคม 2568 ( 16:45 )
1

#CRC #ทันหุ้น-ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7.5 พันล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 5 ปีของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ที่ระดับ “AA-” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิม รวมทั้งใช้เป็นเงินลงทุน และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “AA-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลงานซึ่งเป็นที่ยอมรับของบริษัทในอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยได้รับแรงหนุนจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและสถานะทางการแข่งขันในระดับแนวหน้าของบริษัท จุดแข็งที่สำคัญของบริษัทอยู่ที่การมีเครือข่ายร้านค้าจำนวนมาก ตลอดจนแบรนด์ร้านค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ระบบอำนวยความสะดวกที่แข็งแกร่ง และผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งเหล่านี้ถูกลดทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ตลอดจนความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัว

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีความสอดคล้องกับประมาณการของ ทริสเรทติ้ง โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 1.32 แสนล้านบาท ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจอาหารเป็นหลัก ส่วน EBITDA ของบริษัทนั้นอยู่ที่จำนวน 1.65 หมื่นล้านบาท และมี EBITDA Margin อยู่ที่ 12.5%

ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วซึ่งรวมถึงหนี้สินทางการเงินตามสัญญาเช่าอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.43 แสนล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ซึ่งปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ระดับ 4.2 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับประมาณ 19% ซึ่งสะท้อนถึงระดับหนี้สินทางการเงินที่อยู่ในระดับปานกลาง

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.04 หมื่นล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารหลายแห่งที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่เกือบ 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งแหล่งที่มาของเงินทุนเหล่านี้น่าจะเพียงพอสำหรับรองรับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนตามแผนซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาทในปี 2568 รวมถึงภาระหนี้สินระยะยาวและภาระหนี้สินทางการเงินตามสัญญาเช่าที่จะครบกำหนดภายใน 12 เดือนข้างหน้าจำนวนเกือบ 2.17 หมื่นล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารจำนวนประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานะเครดิตของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารในการต่ออายุเงินกู้ยืมระยะสั้นได้อย่างต่อเนื่อง อนึ่ง ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอยู่ในระดับประมาณ 8% ของหนี้สินรวม

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการขายธุรกิจห้างสรรพสินค้า Rinascente ของบริษัทในประเทศอิตาลีให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS) โดยเงินได้ก่อนหักภาษีจะอยู่ที่ประมาณ 1.47 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเสนอขายสินทรัพย์ดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนามเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากตลาดที่มีการเติบโตสูง ทั้งนี้ เงินได้สุทธิหลังจากหักภาษีที่ได้จากธุรกรรมดังกล่าวซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่จำนวนประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทนั้น บริษัทจะนำไปใช้ชำระหนี้จำนวนประมาณ 5.3 พันล้านบาท และจ่ายเงินปันผลพิเศษประมาณ 7.7 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งประเมินว่าการถอนการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยลดภาระหนี้ของบริษัทได้บางส่วนแม้ว่าการรับรู้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในประเทศอิตาลีจะสิ้นสุดลงตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไปก็ตาม ทั้งนี้ ธุรกรรมดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 นี้ โดยรวมแล้วทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท

**แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในตลาดค้าปลีกในประเทศไทยต่อไปได้พร้อมทั้งมีการเติบโตที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับตลาดโดยรวม อีกทั้งสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงสอดคล้องกับระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ด้วยเช่นกัน

**ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่สูงเกินกว่า 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนและ/หรือการซื้อกิจการขนาดใหญ่ใด ๆ โดยใช้เงินทุนจากการก่อหนี้จำนวนมากซึ่งทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญก็จะส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง