เจาะสินเชื่อ-กำไร ธุรกิจ“จำนำทะเบียนรถ”

โดยถ้าดูจาก รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนกันยายน 2568 จากนายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในตลาดรวมเดือนกันยายนอยู่ที่ 48,350 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยกลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง ยอดขาย 19,671 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 จากปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 28,679 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4
และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,354 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 รถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) มียอดขาย 12,756 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 73.45 และมียอดขายสะสมเก้าเดือนแรกถึง 102,372 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งร้อยละ 51 ของตลาดรถไฟฟ้า (อีวี) ทั้งหมด ส่วนโตโยต้า ยังคงครองอันดับหนึ่งตลาดรถยนต์ ด้วยยอดขายสะสมเก้าเดือนแรกถึง 167,800 คัน
ขณะที่ตลาดรถยนต์เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภครอแคมเปญใหญ่ปลายปีอย่างมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo ที่จะขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ที่ IMPACT เมืองทองธานี ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อชะลอตัว
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในระดับสูง ยังคงกดดันความเชื่อมั่น และกำลังซื้ออย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี
ส่วนเมื่อมาดูทางฝั่ง “ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” ในประเทศไทย จะพบว่าเริ่มมีการชะลอตัว แต่ศักยภาพในการเติบโตยังคงมีอยู่ โดยข้อมูลของบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ระบุว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อจำนำทะเบียนรถมีการเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยรวม ซึ่งรวมถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรถยนต์ด้วย และ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 สินเชื่อดังกล่าวมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 8.2 ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งหมดจากสัดส่วนร้อยละ 3.8 ในปี 2563 เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในธุรกิจเพิ่มขึ้น รวมถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตรากำไรที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2567 และดำเนินต่อเนื่องจนถึงครึ่งแรกของปี 2568 โดยผู้ประกอบการที่อยู่ในฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีสินเชื่อรวม 3,820 ล้านบาท ณ สิ้น ไตรมาส 2 ปี 2568 และมีการเติบโตเพียงร้อยละ 1.9 จากสิ้นปี 2567
จากที่เคยมีอัตราการเติบโตสูงถึงร้อยละ 36.9 ในปี 2565 เช่นเดียวกับสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวลดลงจากการที่ผู้ให้บริการสินเชื่อเพิ่มความระมัดระวังหลังจากที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับหนี้ด้อยคุณภาพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนในระยะยาว สินเชื่อจำนำทะเบียนรถโดยรวมยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีรถจักรยานยนต์ และรถยนต์จดทะเบียนสะสมรวมประมาณ 43 ล้านคันในปี 2567
ส่วนปี 2568-2569 นั้น ทริสเรทติ้งคาดว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อโดยรวมของธุรกิจจำนำทะเบียนรถ น่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับเพียงร้อยละ 5-10 จากเดิมที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับร้อยละ 10-15เนื่องจากผู้ประกอบการต่างมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาคุณภาพสินเชื่อ ท่ามกลางการฟื้นตัวที่เชื่องช้าของเศรษฐกิจ
รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ยังเปราะบาง ประกอบกับ ตลาดตราสารหนี้ที่ยังมีความตึงตัว ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการขยายสินเชื่อของผู้ประกอบการบางราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง
นอกจากนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2558 จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ในปี 2568 และร้อยละ 1.9 ในปี 2569 ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวัง และเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่
นอกจากนี้ ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ นั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่จดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 77 ราย ประกอบด้วยผู้ให้บริการ 2 กลุ่มหลัก คือ
1.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และ 2.กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank Financial Institutions — NBFI) หรือ Non-bank และการเติบโตของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในช่วงที่ผ่านมา ยังคงนำโดยกลุ่มนอนแบงก์เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงบริษัทย่อยของธนาคารพาณิชย์ด้วย
โดยสินเชื่อส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำตลาด 3 รายใหญ่ ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (TIDLOR) และ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SAWAD)
อย่างไรก็ตาม แม้ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการ Non-bank มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ลดลงอย่างมาก จากความระมัดระวังเรื่องคุณภาพของสินทรัพย์ และผลกระทบจากราคารถมือสองที่ปรับลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกดดันต่อมูลค่าหลักประกันและอัตราส่วนวงเงินสินเชื่อเมื่อเทียบกับมูลค่าหลักประกัน (LTV) แต่เชื่อว่า ในระยะยาวผู้ให้สินเชื่อในกลุ่ม Non-bank จะยังคงเป็นผู้นำตลาด เนื่องจากเครือข่ายสาขาจำนวนมากซึ่งกระจายตัวครอบคลุมพื้นที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ซึ่งการเข้าถึงลูกค้า และการตรวจสอบหลักประกันยังคงต้องอาศัยผู้ปฏิบัติการ ยิ่งกว่านั้น การมีสาขาที่ไม่ไกลจากลูกค้ายังช่วยให้มีความสะดวกในการติดตามหนี้อีกด้วย
ส่วนเมื่อมาดูความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถนั้นจะพบว่า ผลกำไรของผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 10 จาก ไตรมาส 1 ปี 2567 เมื่อปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่จำนวน 8,900 ล้านบาท และหากพิจารณาจากอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย ซึ่งเป็นเกณฑ์วัดความสามารถในการทำกำไรของกลุ่ม Non-bank ที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตแล้วจะพบว่า ค่าเฉลี่ยกำไรของธุรกิจจำนำทะเบียนรถ เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดในปี 2567 ที่มีกำไรแค่ 4,000 กว่าล้านบาท
ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากการตั้งสำรองที่ลดลง จากความเข้มงวดที่เพิ่มมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างมีค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่ทรงตัว หรือลดลง แม้ว่าผู้ประกอบการรายเล็ก ยังคงมีค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการขยายสาขา และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง ก็ทำให้ผลกำไรโดยรวมของกลุ่มธุรกิจปรับตัวดีขึ้นด้วย
โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรตลอดทั้งปี 2568 ของกลุ่มธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะปรับตัวดีขึ้นประมาณร้อยละ 10 แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่า คาดประกอบกับการชะลอตัวลงของการปล่อยสินเชื่อ ทำให้อัตราส่วนลูกหนี้ด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL Ratio) ไตรมาส 2 ปรับตัวอยู่ในระดับสูงตามไปด้วยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ขณะที่ อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Formation Ratio) เริ่มมีการปรับลดลงในไตรมาส 2 ปี 2568 โดยใน ณ สิ้นปี 2567 อัตราการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ส่วนไตรมาส 2 ปี 2568 อัตราส่วนลูกหนี้ด้อยคุณภาพปรับตัวลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.8 โดยในมุมมองของทริสเรทติ้ง ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งมองว่าน่าจะเป็นผลจากมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อที่มีความเข้มงวดมากขึ้น
นอกจากนี้ อัตราการตั้งสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน แม้จะลดลงจากในอดีตแล้วก็ตาม ด้วยปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ การติดตามเฝ้าระวังคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปก็ยังคงมีความจำเป็น เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังใน “ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” ของปีนี้ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ ได้แก่
1.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เนื่องจากแหล่งเงินทุนของบริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์ มีความมั่นคงน้อยกว่าธนาคารและบริษัทลูกของธนาคาร
เนื่องจากไม่สามารถระดมเงินฝากหรือพึ่งพาธนาคารแม่ได้ โดยความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้ หากบริษัทมีการจัดการความสอดคล้องของอายุสินทรัพย์ และหนี้สินที่ดี
2.ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): แม้แม้ว่าธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแลของ ธปท. แต่บริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์ ลูกค้าหลักของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบางรายได้น้อย อาจเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารได้ยาก เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่าลูกค้าของธนาคาร แต่เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน และลูกหนี้มีความเป็นเจ้าของรถมาแล้ว ประกอบกับวงเงินสินเชื่อที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ หรือไม่สูงเทียบเท่ากับราคาตลาด ทำให้อัตราการทิ้งรถไม่สูงเท่ากับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
3.ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) แม้ว่าธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่บริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์ ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทลูกในเครือธนาคาร มักมีมาตรฐานและการควบคุมที่ไม่เข้มงวดเท่าธนาคาร ระบบปฏิบัติงานของบริษัทเหล่านี้ ยังพึ่งพาบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากการทำงาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการทุจริตฉ้อโกง
4.ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ความเสี่ยงด้านตลาดเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น และราคารถมือสองลดลงอย่างมาก เนื่องจากอุปทานที่สูงจากการเพิ่มขึ้นของรถยึด ซึ่งเกิดจากหนี้เสียที่ขยายตัว ส่งผลกระทบต่อราคาประเมินของหลักประกัน และอาจทำให้บางบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนจากการขายรถยึด
5.ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย (Regulatory Risk) โดยการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่างๆ สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญต่อการดำเนินงานและกลยุทธ์ของบริษัท เช่น การกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย การกำกับดูแลด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม ค่าปรับ การขอความร่วมมือช่วยเหลือลูกหนี้ในสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สามารถเรียกเก็บจากลูกหนี้ เป็นต้นแม้การกำกับดูแลในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ และทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีข้อเสียเปรียบในด้านต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนในการดำเนินงาน อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการต้องจำกัดกลุ่มลูกค้า โดยเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตไม่สูงมากส่งผลต่อการขยายสินเชื่อ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
