คลังเล็งกู้เพิ่มเตรียมรับมือวิกฤตนโยบายทรัมป์

คลังเล็งกู้เพิ่มเติมรับมือวิกฤตนโยบายทรัมป์ หลังสถานการณ์รายได้ยังสุ่มเสี่ยงไม่เข้าเป้า โดย 5 เดือนแรกเกินเป้าเพียง 0.1% ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มชะงัก โดยยอดปล่อยกู้และภาคธุรกิจชะลอลงทุน เพื่อรอประเมินผลกระทบ
#ทันหุ้น รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2568 หลังจากที่ยอดการจัดเก็บรายได้ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณเกินกว่าเป้าหมายเพียง 0.1% เท่านั้น โดยรายได้หลักที่จัดเก็บได้เพิ่มคือการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ขณะที่ รายได้จาก 3 กรมจัดเก็บหลักยังต่ำกว่าเป้าหมาย
นอกจากนี้ ขณะนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบายการใช้กำแพงภาษีเพื่อตอบโต้ประเทศที่เกินดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งจะกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกสินค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนจีดีพีในปีนี้ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนในประเทศก็ชะลอการลงทุน เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อที่จะเข้ามากระทบกับภาคธุรกิจ จะเห็นได้จากยอดการปล่อยสินเชื่อก็อยู่ในภาวะชะลอตัว
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าว กระทรวงการคลังกำลังประเมินว่า จำเป็นหรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินกู้เพิ่มเติม เพื่อนำมารองรับกรณีที่จะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยระดับการขาดดุลงบประมาณที่ 8.65 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 นั้น แม้จะเป็นวงเงินที่สูง แต่ก็มีแผนการใช้จ่ายรองรับไว้หมดแล้ว หากจะต้องมีการใช้จ่ายเพิ่ม ก็จำเป็นต้องใช้เงินกู้ เพราะประเมินรายรับไม่เข้าเป้า
นอกจากนี้ ยังต้องประเมินถึงระดับหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นไปชนเพดานการก่อหนี้ตามกรอบวินัยการเงินการคลังด้วย โดยขณะนี้ ระดับหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 64% ขณะที่ กรอบเพดานการก่อหนี้อยู่ที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากกรอบพ.ร.บ.การก่อหนี้สาธารณะแล้ว จะพบว่า รัฐบาลมีช่องว่างที่จะกู้เงินได้เพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับการใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงจะเหลือเพียงช่องทางเดียว คือ การออกพ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติม เช่นเดียวกันกับกรณีที่เกิดวิกฤตโควิดเมื่อปี 2563
แต่ทั้งนี้ การออกพ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติมนั้น รัฐบาลจะต้องมีเหตุจำเป็น เช่น เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องกู้เงินเพิ่มเติม และ ต้องมีโครการการใช้จ่าย รวมถึง กำหนดระยะเวลาการใช้จ่าย ขณะที่ สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ ยังไม่ถือว่า เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลอาจไม่สามารถใช้ช่องทางการกู้เงินดังกล่าวได้