ข้อตกลงสันติภาพของอิสราเอลกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน มีความสำคัญอย่างไรต่อสหรัฐฯ และชาติคู่เจรจา
ผู้แทนระดับสูงจากอิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลงนามในข้อตกลงสันติภาพประวัติศาสตร์ที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง ที่ทำเนียบขาวในวันอังคารที่ 15 ก.ย. นี้- BBCไทย
กระทรวงการต่างประเทศของบาห์เรนจะเข้าร่วมพิธีลงนามนี้ด้วย และจะลงนามในข้อตกลงปรับความสัมพันธ์กลับสู่ระดับปกติระหว่างบาห์เรนกับอิสราเอล ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมข้อตกลงเหล่านี้จึงมีความสำคัญ
1.ประเทศในอ่าวเปอร์เซียมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
ข้อตกลงนี้เป็นผลดีต่อสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ที่พยายามทำให้ตัวเองเป็นมหาอำนาจทางการทหาร เช่นเดียวกับ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการทำธุรกิจและการเดินทางมาพักผ่อน
ดูเหมือนว่า สหรัฐฯ เป็นผู้ช่วยให้มีการบรรลุข้อตกลง โดยการรับปากว่าจะจัดหาอาวุธที่ทันสมัยให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีความต้องการมานานแล้วในอดีต อาวุธเหล่านี้รวมถึง เครื่องบินขับไล่ล่องหนเอฟ-35 (F-35) และเครื่องบินรบอิเล็กทรอนิกส์ EA-18G โกรว์เลอร์ (EA-18G Growler)
ยูเออีเคยส่งกองกำลังที่มีอาวุธครบมือของตัวเองเข้าไปในลิเบียและเยเมนแล้ว แต่ศัตรูตัวฉกาจของยูเออีคือ อิหร่าน ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของอ่าวเปอร์เซีย
อิสราเอลและสหรัฐฯ ก็มีอิหร่านเป็นศัตรู เช่นเดียวกับยูเออี ส่วนบาห์เรนเองก็มีความขัดแยงกับอิหร่านมาก่อนเช่นกัน อิหร่านเคยอ้างว่า บาห์เรนเป็นส่วนหนึ่งของอิหร่านจนถึงปี 1969 ขณะที่ผู้ปกครองบาห์เรนที่เป็นมุสลิมนิกายซุนนี ก็เห็นว่ากลุ่มคนบางส่วนในจำนวนชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ อาจจะเป็นฝ่ายเดียวกับอิหร่านที่ต้องการบ่อนทำลายประเทศ
ทั้งยูเออีและบาห์เรนไม่ได้ปกปิดความสัมพันธ์กับอิสราเอล และต้องการจะทำมาค้าขายกับอิสราเอลอย่างเปิดเผย โดยอิสราเอลเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตสินค้าที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก
ในช่วงที่ไม่มีการระบาดของโควิด-19 ชาวอิสราเอลชื่นชอบการท่องเที่ยวพักผ่อน พวกเขาชอบไปเที่ยวทะเลทราย ชายหาด และศูนย์การค้าต่าง ๆ ของประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลดีต่อการทำธุรกิจ
2.อิสราเอลลดการโดดเดี่ยวตัวเองจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
การปรับความสัมพันธ์กลับคืนสู่ระดับปกติกับยูเออีและบาห์เรน เป็นความสำเร็จที่สำคัญมากของชาวอิสราเอล
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่ถูกเรียกในช่วงทศวรรษ 1920 ว่า "กำแพงเหล็ก" (Iron Wall) กั้นระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับ
แนวคิดนี้เชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของอิสราเอลจะทำให้ชาติอาหรับตระหนักว่า ทางเลือกเดียวที่มีอยู่คือ การยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล
ชาวอิสราเอล ไม่ชอบการถูกโดดเดี่ยวในตะวันออกกลาง สันติภาพกับอียิปต์และจอร์แดนไม่เคยสร้างความรู้สึกอบอุ่นใจให้กับอิสราเอล แต่ชาวอิสราเอลหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ในอนาคตกับชาติในอ่าวเปอร์เซียที่อยู่ห่างไกลจากนครเยรูซาเลมและดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอยู่มากกว่า
การกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มพันธมิตรต่อต้านอิหร่านเป็นข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นายเนทันยาฮู เห็นว่าอิหร่านเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอล หลายครั้งที่มีการเปรียบเปรยผู้นำอิหร่านว่าเป็นนาซี เขาเลิกตำหนิถึงข้อตกลงอาวุธที่อาจจะเกิดขึ้นกับยูเออี
นอกจากนี้ นายเนทันยาฮูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ทั้งการเผชิญกับการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตที่อาจจะทำให้เขาถูกจำคุก การรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มต้นด้วยดีและกลับเลวร้ายลง ผู้ต่อต้านเขาจัดการประท้วงเป็นรายสัปดาห์ที่ด้านนอกที่พักของเขาในนครเยรูซาเลม
พิธีลงนามที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ นี้ไม่อาจที่จะรีรอต่อไปได้
3.ความสำเร็จครั้งใหญ่ด้านนโยบายต่างประเทศที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างได้
ข้อตกลงนี้ส่งผลดีต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในหลายระดับ
มันเป็นการส่งเสริมยุทธศาสตร์ "เพิ่มแรงกดดันสูงสุด" ต่ออิหร่าน ของประธานาธิบดีทรัมป์ นอกจากนี้ยังช่วยส่งผลดีในช่วงปีนี้ที่มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วย เพราะนายทรัมป์ก็สามารถอ้างได้ว่า เขาเป็นนักเจรจาต่อรองที่เก่งกาจที่สุดในโลก
ทุกสิ่งที่เขาทำที่เป็นผลดีต่ออิสราเอล หรือหากจะเจาะจงลงไปก็คือ รัฐบาลนายเบนจามิน เนทันยาฮู ก็จะช่วยให้เขาได้คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่เป็นคริสเตียนอีวานเจลิคัล (Christian Evangelical) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของเขาส่วนหนี่ง
แนวร่วม "เพื่อนอเมริกา" ต่อต้านอิหร่าน อาจจะดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น ถ้าชาติอาหรับในอ่าวเปอร์เซียเปิดกว้างมากขึ้นในด้านความสัมพันธ์กับอิสราเอล แทนที่จะปิดกั้นตัวเอง
สิ่งที่เรียกว่า "ข้อตกลงแห่งศตวรรษ" ของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ล้มเหลว
แต่ "ข้อตกลงอับราฮัม" (Abraham Accords) ซึ่งเป็นชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของข้อตกลงระหว่างอิสราเอลและยูเออี เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสมดุลอำนาจในตะวันออกกลาง และรัฐบาลของนายทรัมป์เห็นว่า เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ด้านนโยบายต่างประเทศ
4.ชาวปาเลสไตน์รู้สึกว่าถูกหักหลัง
เป็นอีกครั้งที่ชาวปาเลสไตน์ถูกเพิกเฉย พวกเขาประณามข้อตกลงอับราฮัมว่าเป็นการทรยศ ข้อตกลงใหม่นี้ละเมิดฉันทามติของอาหรับที่มีมายาวนานว่า การปรับความสัมพันธ์เป็นปกติกับอิสราเอลต้องแลกมากับเอกราชของปาเลสไตน์
แต่ตอนนี้ อิสราเอลกำลังจะกระชับความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับชาติอาหรับหลายชาติ ขณะที่ปาเลสไตน์ยังต้องดิ้นรนต่อสู้ภายใต้การยึดครองในเยรูซาเลมตะวันออกและในเขตเวสต์แบงก์ รวมถึงฉนวนกาซาที่เปรียบเหมือนกับเรือนจำเปิดด้วย
เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน มกุฎราชกุมารของอาบูดาบี ซึ่งเป็นผู้ปกครองในทางพฤตินัยของยูเออี ตรัสว่า สำหรับพระองค์ ราคาของข้อตกลงนี้ คือ การที่อิสราเอลยอมยุติการผนวกพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตเวสต์แบงก์
นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอล ดูเหมือนถอยห่างออกมาจากการผนวกพื้นที่เหล่านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะมีแรงกดดันอย่างมากจากนานาประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เสนอทางออกให้กับเขาจากสิ่งที่กลายเป็นทางตันทางการเมืองที่น่ากระอักกระอ่วนใจ
ความกระวนกระวายใจของปาเลสไตน์จะเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อบาห์เรนได้เข้าร่วมข้อตกลงด้วย
เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าซาอุดีอาระเบียไม่เห็นชอบด้วย ซาอุฯ เป็นผู้ร่างแผนสันติภาพอาหรับที่เรียกร้องเอกราชให้ปาเลสไตน์
สถานะของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานในฐานะผู้พิทักษ์สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 2 แห่งของศาสนาอิสลาม ทำให้พระองค์ทรงมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์คงจะไม่ยอมรับอิสราเอลในทันทีทันใด เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชโอรสและองค์รัชทายาทของพระองค์ อาจจะรู้สึกฝืนพระทัยลดลง
5.อิหร่านกำลังมีเรื่องปวดหัวในทางยุทธศาสตร์เรื่องใหม่
ผู้นำของอิหร่านประณามข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่
ไม่ใช่แค่ทางคำพูด ข้อตกลงอับราฮัมทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในบรรดาผู้นำของอิหร่าน
การคว่ำบาตรของประธานาธิบดีทรัมป์ก็สร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านมากอยู่แล้ว ตอนนี้ พวกเขายังมีเรื่องปวดหัวในทางยุทธศาสตร์เรื่องใหม่
ฐานทัพอากาศที่ตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอล ใช้เวลานานกว่าจะส่งเครื่องบินมาถึงอิหร่าน แต่ตอนนี้ ยูเออี ตั้งอยู่เพียงฝั่งตรงข้ามของอ่าวเปอร์เซียเท่านั้น นั่นจะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ถ้าพวกเขากลับมาหารือกันเกี่ยวกับการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง
อิหร่านพบว่าพื้นที่ในการจัดเตรียมกลยุทธ์ในการสู้รบเริ่มลดลงแล้ว