LOXLEY ชูธุรกิจฟื้นตัวเด่น ลุยขยายฐานปั๊มรายได้โต

นายสุพัฒน์  กรชาลกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริการสายงานกลุ่มบริหารการเงิน บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2565 เชื่อว่าจะมีการเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2565 ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 3,167 ล้านบาท และมีผลขาดทุนกำไรสุทธิเล็กน้อยที่ 43 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าจะกลับมาทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้จากงานโครงการติดตั้งเครื่องจำหน่ายและเครื่องชำระเงิน ตู้ ATM ได้ หลังจากชะลอเพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19

*ชูเทรดดิ้งเด่น

ทางด้านธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading) ในปี 2565 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตทั้งปีไว้ที่ไม่น้อยกว่า 4,600 ล้านบาท จากในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ทำได้แล้วที่ 3,844 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากกลุ่มเกี่ยวเนื่องกับอาหารและการบริโภค (Food  Product) ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย อาทิ น้ำมันพืชกุ๊ก น้ำปลา-กะปิ ตราตราชั่ง ถั่วลันเตาอบกรอบ ซอสหอยนางรม นมหนองโพ และน้ำปลาร้าหม่ำแซ่บ เป็นต้น ที่ประมาณ 73% ในส่วนที่เหลือราว 27% เป็นกลุ่มสินค้านอกเหนือจากการบริโภค (Non-Food Product) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับแบรนด์ Jordan

ส่วนงาน (Trading) เคมีภัณฑ์ยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้ายังคงมีการส่งคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นผง Talcum Powder ที่ใช้เป็นส่วนผสมแป้งโรยตัว, ผง Sodium Bicarbonate ที่ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องดื่มชูกำลัง, ผง Sweetener (Maitodextrin, Dextrose) ที่ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มแบบ 3 in 1, ผง Calcined Alumina ที่ใช้เป็นส่วนผสมในงานเผากระเบื้อง, ผง CMC ที่ใช้เป็นส่วนผสมผงซักฟอก และผง Carbon Black ที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตยางรถ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังมองหาซัพพลายจากแหล่งใหม่ ทั้งในประเทศจีน อินเดีย ตุรกี และยุโรป เข้ามาเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้มากขึ้น

โดยบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในส่วนของ Trading แบบอนุรักษนิยมในปี 2566 และ 2567 ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท และ 5,600 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงวางเป้าหมายให้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจ Trading ในปี 2566 เพิ่มเป้นมากกว่า 50% จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ราว 42% นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีความสนใจและมองหาพันธมิตรและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความแตกต่าง เป็นที่ต้องการของตลาดและมีการเติบโตที่ดีมาจำหน่ายเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะได้เห็นความชัดเจนมากกว่า 1 ผลิตภัณฑ์

แบ็กล็อกหนา

ขณะที่ธุรกิจงานโครงการนั้น ต้องยอมรับว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมากระทบให้งานประมูลต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นมีความล่าช้าออกไป ทำให้งานในมือที่รอการทยอยส่งมอบ (Backlog) ในปัจจุบันมีจำนวนลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 8,462 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนออกเป็นงานเน็ตเวิร์กโซลูชันที่ 3,406 ล้านบาท คิดเป็น 40%ของแบ็กล็อก, งานไอที (IT) ที่ราว 2,911 ล้านบาท คิดเป็น 34%, งานเกี่ยวเนื่องกับพลังงาน อยู่ที่ 1,340 ล้านบาท คิดเป็น 16% และงานบริการ อยู่ที่ 805 ล้านบาท คิดเป็น 10% เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะกลับมาทยอยส่งมอบและรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในไตรมาส 4/2565 กว่า 2,823 ล้านบาท

และคาดว่าจะรับรู้ต่อเนื่องในปี 2566 อีกจำนวน 3,872 ล้านบาท และในปี 2567 มากกว่า 1,767 ล้านบาทขึ้นไป โดยงานโครงการคงเหลือในมือที่มีอยู่ ได้แก่ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง M6 สายบางประอิน-นครราชสีมา และ M81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี, โครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าสารภี โครงการปรับปรุงสถานีไฟฟ้า พังงา สตูล ตรัง และโครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเหอหนาน, โครงการก่อสร้างแดนความมั่นคงสูง เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และโครงการติดตั้งตู้ ATM 1,600 หน่วย ให้กับธนาคารกรุงไทย โครงการด้านเทคโนโลยีการปฏิบัติการและชำระภาษีของกรมสรรพากร รวมถึงงานด้านบริการและบำรุงรักษา RD เป็นต้น

ในด้านธุรกิจบริการ ปัจจุบันเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่มีการเปิดประเทศ ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยแตะที่ระดับกว่า 1.8 ล้านคนแล้วในปัจจุบัน ส่งผลให้งานบริการความปลอดภัยภายในสนามบินเริ่มกลับมารับรู้รายได้ที่ดีขึ้น โดยมองว่าในปี 2566 จะมีการเติบโตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับปีนี้